วันอังคารที่ 2 มีนาคม พ.ศ. 2564

ตะลุยกังฟู ตอนที่ 3 ประโยชน์ของไทเก็ก

 

ตะลุยกังฟู ตอนที่ 3 ประโยชน์ของไทเก็ก


มวยไทเก็ก หรือไท่จี๋เฉวียน太极拳 Tàijí quán ถึงแม้ว่าจะเห็นภาพลักษณ์ว่าเป็นกีฬาของผู้สูงอายุ เนื่องจากเรามักจะเห็นผู้สูงอายุนิยมร่ายรำกันมากมายตามสวนสาธารณะ แต่ในความเป็นจริงแล้วในนานาประเทศ ไทเก็กได้รับความนิยมในหมู่ผู้สนใจศิลปะการต่อสู้ป้องกันตัวแบบจีน และการฝึกเพื่อสุขภาพ โดยอายุของผู้ฝึกจะมีมากในช่วง 15ปีขึ้นไปจนถึง70ปี

แต่ขึ้นชื่อว่า “มวย” แล้ว ย่อมต้องหมายถึงการต่อสู้ หลายท่านคงจะแปลกใจว่า เอ๊ะ จริงๆแล้วไทเก็ก สามารถใช้สู้ได้หรอ ในความเป็นจริงของมวยไทเก็กนั้น เป็นศิลปะการต่อสู้ป้องกันตัวที่ถูกคิดค้นขึ้นจากปรัชญาศาสนาเต๋า道教哲学Dàojiào zhéxué ที่เน้นความสมดุลกันของธรรมชาติ และการใช้ชีวิตให้ดำรงสอดคล้องกับธรรมชาติ ดังนั้นไทเก็กจึงมีการต่อสู้ที่เน้นเรื่องสมดุลของตนเอง การทำลายสมดุลของอีกฝ่าย การสลายแรงโดยไม่ปะทะ จึงเป็นที่มาของหลัก ”สี่ตำลึงปาดพันชั่ง 四两拨千斤sìliǎngbōqiānjīn” ที่มักได้ยินกันในนิยายหนังกำลังภายในมากมาย

ไทเก็กมีการฝึกที่เน้นการค้นหา เรียนรู้การเคลื่อนไหวของร่างกาย ทั้งการเคลื่อนไหวร่างกายภายนอก และการเปลี่ยนแปลงภายใน เช่นลมหายใจ กระแสลปราณ รวมถึงการรับรู้ และบริหารจัดการแรงที่มากระทบกับร่างกาย ไม่ว่าจะเป็นการ ผลัก ดึง ฉุด การทำลายสมดุล หรือการโจมตีต่างๆเช่น ชก เตะ เป็นต้น โดยเริ่มการฝึกจากการเรียนรู้ตัวเองด้วยการ ยืนจวงกง การร่ายรำ และเรียนรู้คู่ต่อสู้ด้วยการฝึกผลักมือ และการฝึกเข้าท่าต่อสู้ จนไปถึงการต่อสู้อิสระ

ในการนำมวยไทเก็กไปใช้ในการต่อสู้จริงให้ได้ผลจริงนั้น ต้องขึ้นอยู่ว่าตัวเราเองนั้นมีประสบการณ์ฝึกฝนมามากขนาดไหน เข้าใจขนาดไหน ผ่านการฝึกเข้าคู่ต่อสู้มามากขนาดไหน ไม่ใช่เพียงแค่ รำๆ จับคู่ผลักมือ ผลักกันไปผลักกันมา ทำให้คนกระเด็นได้แล้วจะต่อสู้ได้จริง ดังนั้นการจะต่อสู้จริงโดยใช้มวยไทเก็กนั้น ขึ้นอยู่กับระดับของผู้ฝึกในวิชาว่าฝึกถึงขั้นหรือไม่


    ในด้านสุขภาพร่างกาย คุณประโยชน์ของมวยไทเก็กนั้น ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายมาโดยตลอด ทั้งในวงการแพทย์ สังคมผู้สูงอายุ และในหมู่ผู้รักสุขภาพแนวสมาธิ ไทเก็กสามารถพัฒนาสติสมาธิ จากการฝึกร่ายรำที่ต้องใส่ใจในรายละเอียด อาจเทียบได้ดั่งการฝึก วิปัสสนากายานุปัสนากรรมฐาน และพัฒนาระบบประสาทสัมผัสให้ฉับไวขึ้นการฝึกผลักมือ ในด้านความแข็งแรงของร่างกาย ไทเก็กให้กล้ามเนื้อขาที่แข็งแรง ความยืดหยุ่นผ่อนคลายของกล้ามเนื้อทั้งร่างกาย โดยเฉพาะกล้ามเนื้อหลังท่อนล่าง หรือสะโพก เอว ซึ่งในทางการแพทย์จีน ถือว่าส่วนนี้เป็นส่วนสำคัญส่วนหนึ่งของร่างกาย และยังเป็นที่ตั้งของจุดชีพจร มิ่งเหมินประตูชีวิต
命门mìng mén อีกด้วย ซึ่งหากมิ่งเหมินแข็งแรง ก็จะทำให้เสริมเจิ้งชี่ 正气zhèngqìภูมิต้านทาน และขจัดเสียชี่ 邪气xiéqì พลังเสียสิ่งที่ก่อโรค โดยการเคลื่อนไหวของไทเก็กที่มีความช้า จึงทำให้เกิดการฝึกฝนกล้ามเนื้อมัดเล็กอื่นๆไปพร้อมกับกล้ามเนื้อมัดใหญ่ด้วย แต่ลักษณะของกล้ามเนื้อที่ได้จากการฝึกไทเก็ก จะไม่ใช่เหมือนกับคนที่ฝึกกล้ามเนื้อมาโดยเฉพาะอย่างคนเล่นเวท 负重训练fùzhòng xùnliàn แต่ผู้ฝึกไทเก็กจะได้กล้ามเนื้อที่มีความสมดุลทั้งด้านความแข็งแรงและความผ่อนคลายยืดหยุ่น พร้อมกับประสาทสัมผัสการควบคุมร่างกาย จึงทำให้ผู้ฝึกไทเก็กสามารถที่จะใช้แรงจากร่างกายได้มากกว่าคนที่มีความแข็งแรงของกล้ามเนื้อมากกว่า และอาจจะไม่เหมาะกับกับผู้ที่ต้องการการออกกำลังกายแบบคาดิโอหนักๆ

ในด้านสมาธิ และสติสัมปชัญญะ ไทเก็กนับเป็นกีฬาอันดับต้นๆที่เน้นฝึกด้านการพัฒนาจิตสติสมาธิ เนื่องจากท่วงท่าการเคลื่อนไหวที่ช้า และมากมาย จึงทำให้เกิดการสำรวจตนเอง เรียนรู้การเคลื่อนไหวของร่างกายตนเอง จึงอาจเทียบได้กับการฝึกแนว สติปัฏฐานสี่ 四念住 sì niàn zhù ของพระพุทธศาสนา 佛教Fójiào การร่ายรำไทเก็กด้วยความถูกต้อง ยังเป็นการโคจรลมปราณ运气 Yùnqì ให้ใหลเวียนทั่วร่างกายได้อีกด้วย ซึ่งประโยชน์ของการที่ลมปราณโคจรได้ทั่วร่างนั้น ย่อมหมายถึงสุขภาพที่แข็งแรงไม่เจ็บป่วย สติจิตประสาทสัมผัสเฉียบคมฉับไว ในขุดนี้เบื้องต้นได้มีผลวิจัยมาแล้วว่าทำให้ผู้สูงอายุที่ได้รับการฝึกไทเก็ก ลดปัญหาด้านอุบัติเหตุเกี่ยวกับการล้ม การทำของตก และพัฒนาความทรงจำ ป้องกันความจำเสื่อมอีกด้วย


ในกลุ่มผู้ฝึกฝนไทเก็กที่มีความเชี่ยวชาญมากๆ เช่นในระดับปรมาจารย์ มักจะมีเหตุการณ์ประหลาดเกิดขึ้นคือ สามารถมองเห็นอนาคตได้เป็นต้น ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของ อนาคตังสญาณ ญาณล่วงรู้อนาคตได้ ซึ่งเป็นผลลัพธ์ของผู้ที่ได้รับการฝึกด้านฌาณสมาธิอย่างดีเยี่ยม

สนใจฝึก มวยจีน ไทเก็ก สามารถติดต่อได้ที่ โรงเรียนภาษาพาเพลิน

 

วันอังคารที่ 23 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2564

ตะลุยกังฟู ตอนที่ 2 ทำไม ไทเก็ก


ตะลุยกังฟู ตอนที่ 2 ทำไม ไทเก็ก

ตอนที่แล้วก็ได้เกริ่นกันไปบ้างแล้วเกี่ยวกับมวยไทเก็ก และคุณประโยชน์ของการฝึกไทเก็ก ว่าสามารถฝึกฝนเพื่อใช้ในการบำบัดสุขภาพกาย พัฒนาสุขภาพจิต อีกทั้งยังเป็นการฝึกฝนทักษะการป้องกันตัวเอง จนเป็นที่นิยมอย่างแพร่หลายทั่วโลก แต่เพราะอะไร ทำไมไทเก็กถึงมีคุณประโยชน์ขนาดนั้น

                มวยไทเก็ก หรือ ไท่จี๋เฉวียน เป็นกิจกรรมการออกกำลังกายที่มีลักษณะช้า และผ่อนคลายเป็นหลัก ตามหลักการ ในการเคลื่อนไหวแสวงหาความสงบ ในความสงบแสวงหาความเคลื่อนไหว(动中求静,静中求动Dòng zhōng qiú jìng, jìng zhōng qiú dòng) พื้นฐานไทเก็กนั้น เราเคลื่อนไหวให้เชื่องช้า เพื่อให้สติของเรามีเวลาสำรวจพิจารณาการเคลื่อนไหวของร่างกายของเรา เป็นการทำสมาธิให้จดจ่อสงบนิ่งเป็นหนึ่งเดียวกับการเคลื่อนไหว ดั่งคำว่า ในความเคลื่อนไหวแสวงหาความสงบ และเป็นการพิจารณา ว่าในการเคลื่อนไหวในทักษะใดทักษะหนึ่งนั้น เคลื่อนไหวได้อย่างถูกต้องหรือไม่ มีอาการเกร็ง ใช้แรงเกินความจำเป็นหรือไม่ การขยับนั้นสอดคล้องสัมพันธ์กับร่างกาย บนล่างตามกัน(上下相随Shàng xià xiāng suíนอกในผสาน(内外相合Nèi wài  xiàng héเพื่อให้เกิดประโยชน์ในการใช้ทักษะต่างๆด้วยศักยภาพร่างกายของเราให้ได้มากที่สุด

  เมื่อร่างกายเคลื่อนไหวด้วยความช้า สงบ เปี่ยมไปด้วยจิตสมาธิที่นิ่งสงบ เราจะพบเห็นการเคลื่อนไหวมากมายที่อยู่ภายในร่างกาย เช่นลมหายใจที่เข้าออกขึ้นลง การถ่ายเทน้ำหนักของร่างกาย การใหลเวียนของโลหิต และลมปราณ(气เป็นต้น ดั่งคำว่า ในความสงบแสวงหาความเคลื่อนไหว ซึ่งสิ่งเหล่านี้เป็นเพียงพื้นฐาน ในการฝึกพัฒนาตนเอง เป็นการตีความเฉพาะแนวทางการฝึกด้านร่างกาย และสมาธิในเบื้องต้นเท่านั้น

                การเคลื่อนไหวร่างกาย เคลื่อนไหวด้วยความช้า ผ่อนคลาย สงบ ผสานกับลักษณะกลมโค้งของท่ามวยไทเก็กแล้ว การรำมวยไทเก็กจึงเหมาะอย่างยิ่งสำหรับการสร้างความสมดุลทางร่างกาย การเคลื่อนเบาผ่อนคลาย ทำให้ร่างกายปราศจากแรงกระแทกมากระทบข้อกระดูกต่างๆ การเคลื่อนไหวที่ช้าทำให้มีเวลาสำรวจการเคลื่อนไหวของร่างกายให้ลดและเลิกพฤติกรรมเสี่ยงที่ทำให้ร่างกายเคลื่อนไหวอย่างผิดธรรมชาติ จนเกิดการสะสมจนอักเสบเรื้อรังได้

                ไทเก็กเมื่อรำจะต้องมีจิตสมาธิที่พร้อมในทุกท่วงท่าการเคลื่อนไหวในชุดท่ารำ ที่มีการเคลื่อนไหวสมดุลสลับผลัดเปลี่ยนต่างๆนานาผสานการเคลื่อนไหวที่ช้า หากในการฝึกนั้นเกิดสมาธิวอกแวก การเคลื่อนไหวไม่ถูกต้อง ก็อาจจะทำให้เกิดการเสียหลัก เสียสมดุลจนเซ ยืนไม่มั่นคงได้ ดังนั้นเมื่อเราได้ฝึกไทเก็กจนเกิดความเคยชิน ก็จะทำให้ทุกๆการเคลื่อนไหวของเรานั้นเต็มเปี่ยมไปด้วยจิตสมาธิ ประสาทสัมผัสที่ดีเยี่ยม  พร้อมร่างกายที่ถูกฝึกให้แข็งแรง กำลังขากำลังกายมีพละกำลัง มีสมดุลที่ดี


                ดังนั้น ไทเก็กจึงถูกเลือกให้เป็นอีกศาสตร์หนึ่งที่ใช้ในการบำบัดฟื้นฟูสุขภาพร่างกาย และจิตใจไปพร้อมๆกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มผู้สูงอายุ เนื่องจากจะทำให้มีสติสมาธิมากขึ้น ไม่หลงไม่ลืม และมีประสาทสัมผัสที่ดีไม่เสียหลักหกล้มง่ายๆ แต่ทั้งนี้ก็ไม่ใช่ว่าจะสามารถฝึกฝนเรียนไทเก็กได้ในตอนสูงอายุแล้ว การศึกษาการเรียนที่ดีนั้น เริ่มต้นได้ทุกเพศทุกวัย ขอเพียงมีใจที่จะศึกษาอย่างจริงจัง คุณประโยชน์ของไทเก็ก ก็พร้อมจะเข้าสู่ร่างกายและจิตใจของคุณ




วันจันทร์ที่ 8 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2564

ตะลุยกังฟู ตอน มวยไทเก็ก1 ไทเก็กในปัจจุบัน

ตะลุยกังฟู ตอน มวยไทเก็ก1 ไทเก็กในปัจจุบัน

หากจะพูดถึงมวยจีน หลายๆคนเมื่อได้ยินคำนี้ก็น่าจะคิดถึงได้อยู่สองสามอย่างคือ มวยไทเก็กที่เหล่าผู้สูงอายุร่ายรำกันตามสวนสาธารณะ มวยเส้าหลินที่มีพระฝึกวิทยายุทธโด่งดังไปทั่วโลก และสุดท่ายก็น่าจะเป็น ยิปมัน ปรมาจารย์หย่งชุนที่โด่งดังจากภาพยนต์หลายๆภาคในช่วงเวลาหลายปีที่ผ่านมานี้



ในวันนี้จะเป็นการนำเสนอเกี่ยวกับมวยไทเก็กที่สามารถพบเห็นได้มากที่สุด

ไท่จี๋เฉวียน 太极拳Tài jí quán หรือที่เราเรียกกันว่ามวยไทเก็ก เป็นศิลปะชนิดหนึ่งของจีน ที่มีความนิยมแพร่หลายทั่วโลก โดยไท่จี๋เฉวียนนั้นไม่เพียงแต่จะเป็นที่นิยมในหมู่ผู้สูงอายุ ในกลุ่มเด็กและบุคคลทั่วไปก็ยังฝึกฝนไท่จี๋เฉวียนกันมากมาย เนื่องจากเป็นกีฬาเพื่อส่งเสริมสุขภาพ สุขภาพจิต ยังเป็นศิลปะป้องกันตัวแบบโบราณอีกด้วย อีกทั้งในทางวงการแพทย์ยังใช้ไท่จี๋เฉวียนในการฟื้นฟูบำบัดร่างกายให้ผู้ป่วยในหลายๆโรคอีกด้วย โดยเฉพาะในปัจจุบันที่มี疫情 yìqíng สถาณการณ์การระบาดของโรค冠状病毒  guānzhuàng bìngdúไวรัสโคโรน่า2019 ไท่จี๋เฉวียนก็ได้ถูกนำไปใช้ในการบำบัดฟื้นฟูสุขภาพผู้ป่วยโควิดควบคู่กับการรักษาทางการแพทย์ด้วย 

ความนิยมในไท่จี๋เฉวียนนั้น นอกจากจะได้รับความนิยมเรื่องการฝึกเพื่อสุขภาพแล้ว ยังเป็นอีกแนวทางหนึ่งที่สามารถใช้ในการฝึกฝนจิตใจ พัฒนา บริหารความคิด การฝึกปฏิกริยาตอบสนอง การเจริญสติ และสมาธิ รวมถึงการควบคุมร่างกายตนเองได้ดีอีกแนวทางหนึ่งด้วย ซึ่งไม่เพียงแต่ผู้สูงอายุเท่านั้นที่สามารถฝึกได้ แต่บุคคลทั่วไป หรือเด็กๆวัยรุ่นก็สามารถฝึกฝนได้เช่นกัน  และเมื่อได้รับการฝึกไท่จี๋เฉวียนอย่างถูกต้องแล้ว ก็สามารถที่จะนำไปใช้เป็นแนวทางในการฝึกป้องกันตัว หรือพัฒนาศักยภาพของตนเองได้ด้วย


ถึงแม้ว่าในปัจจุบัน เราจะพบเห็นมวยไทเก็กได้มากมายตามสวนสาธารณะ หรือแม้กระทั่งสื่อการเรียนการสอนต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น สื่อออนไลน์ หรือหนังสือ ซีดีๆ วีดีโอต่างๆ แต่นั่นก็เป็นเพียงแค่ส่วนหนึ่งของไท่จี๋เฉวียนเท่านั้น เนื่องจากไท่จี๋เฉวียนมุ่งเน้นที่สุขภาพเป็นหลัก จึงไม่น่าแปลกใจว่าจะพบเห็นผู้คนมากมายฝึกฝนศิลปะชนิดนี้กัน นอกจากศิลปะเพื่อสุขภาพแล้ว ในกีฬาระดับสากล ไท่จี๋เฉวียน ยังถูกจัดเข้าเป็นประเภทหนึ่งของกีฬาวูซู หรืออู่ซุ่ 武术  ซึงแปลว่าศิลปะการต้อสู้ในภาษาจีน ที่มีการแข่งขันในระดับกีฬาเยาวชนแห่งชาติ กีฬาแห่งชาติ ซีเกมส์ และเอเซี่ยนเกมส์ ด้วย



สัปดาห์หน้า เตรียมพบกับ ตะลุยกังฟู ตอน มวยไทเก็ก 2

 

สนใจศึกษาวิชามวยจีน  มวยไท่จี๋เฉวียน หรือมวยไทเก็ก สามารถติดต่อสอบถามรายละเอียด และนัดวันเรียนได้ที่ โรงเรียนสอนภาษาพาเพลิน  https://www.facebook.com/learnandjoy/



วันเสาร์ที่ 6 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2564

วิชา ปาต้วนจิ่น 八段锦 และ การยืดเหยียด สำคัญสำหรับชี่กงอย่างไร

 

ทางเพจ TaiChi Thailand - Taiji for Life ร่วมกับ โรงเรียนภาษาพาเพลิน เปิดหลักสูตร มวยจีนเพื่อสุขภาพ ป้องกันตัว และวิชาวิชาชี่กง ปาต้วนจิ่น

Page: โรงเรียนภาษาพาเพลิน

https://www.facebook.com/learnandjoy/

 

Page: TaiChi Thailand - Taiji for Life

https://www.facebook.com/taichibythamyzhang/

 

วิชา ปาต้วนจิ่น 八段锦 Bā duàn jǐn และ การยืดเหยียด สำคัญสำหรับชี่กงอย่างไร



หลายคนมักจะเข้าใจว่า 气功 ชี่กง Qìgōng คือการฝึกลมปราณ ซึ่งการฝึกลมปราณหรือชี่กงนี้ เป็นการฝึกหายใจด้วยการนั่งสมาธิกำหนดจิตเท่านั้น

แต่ในความเป็นจริง ชี่กงนั้น มีทั้งการฝึกท่าเคลื่อนไหว การยืน การนั่ง การนอน โดยเฉพาะท่าเคลื่อนไหวนั้น บางท่าจะมีความยาก และใช้กำลังอย่างมากด้วย

ก่อนอื่นต้องทำความเข้าใจเสียก่อนว่า 气血(qì xuè ชี่เซวี่ย) หรือเลือดลมนั้น ก็คือ เลือด(xuè เซวี่ย) กับปราณ(qì ชี่) มันไม่สามารถแยกออกจากกันได้ เมื่อเราทำท่าใดท่าหนึ่งให้เลือดมันโคจรไหลเวียนไปทางนั้น ปราณชี่มันก็จะไปทางนั้นด้วย

ตามหลักแพทย์จีน การไหลเวียนของปราณชี่ หากชี่เกิดติดขัด คั่งค้าง พร่อง อุดตัน ณ ที่แห่งใด จุดๆนั้นย่อมเกิดอาการบาดเจ็บ หรืออาจส่งผลให้อวัยวะที่เกี่ยวโยงกันด้วยนั้นเกิดความผิดปรกติ

เส้นทางการโคจรของชี่ เรียกว่า จิงลั่ว经络jīng luò หรือที่คนไทยเราเรียกว่าเส้นชีพจร เส้นชีพจรแต่ละเส้นจะเชื่อมโยงอวัยวะต่างๆเข้าด้วยกัน ซึ่งเส้นชีพจรก็จะมีจุดชีพจรต่างๆมากมายรายเรียงกันในเส้น ซึ่งเส้นชีพจรนี้ ก็อาศัยอยู่ตามร่างกาย กล้ามเนื้อ และพาดผ่านกระดูกต่างๆ ดังนั้นกล้ามเนื้อที่ติดเกร็งมากเกินไป พังผืด กระดูกที่เรียงตัวผิดปรกติ ก็อาจเป็นสาเหตุที่ทำให้ชี่ไม่สามารถโคจรไปตามจุดต่างๆเส้นต่างๆได้

การฝึกชี่กงในหลายๆสำนัก จึงมักจะประกอบไปด้วยท่วงท่าที่คล้ายกายบริหาร หรือยืดเส้นแบบโยคะ เนื่องจากการยืดเส้นเป็นการเตรียมความพร้อมของร่างกายก่อนการฝึกชี่กง แต่กายบริหารหรือโยคะก็ไม่สามารถที่จะฝึกแล้วกลายเป็นชี่กงไปได้

ปาต้วนจิ่น8ท่า เป็นท่วงท่าที่ถูกคิดค้นขึ้นเพื่อใช้เป็นพื้นฐานการฝึกชี่กง ด้วยการยืดเหยียดส่วนต่างๆที่สำคัญของการฝึกเช่น แขน ใหล่ คอ กระดูกสันหลัง เอว ขา สะโพก เป็นต้น นอกจากการยืดเหยียดและกายบริหารแล้ว ท่วงท่าในปาต้วนจิ่น ยังเป็นการฝึกชี่กงพื้นฐานด้วย

การฝึกปาต้วนจิ่น เป็นการขยับร่างกายประกอบการหายใจ เมื่อเราทำท่าได้ถูกต้องจนเกิดความเคยชินแล้ว จะสามารถรับรู้ได้ถึงการไหลเวียนของเลือด และกระแสของลมหายใจ ความร้อนของเลือดที่ไหลเวียน

เมื่อสามารถรับรู้การไหลเวียนโคจรต่างๆในร่างกายภายใน ที่เกิดจากการเคลื่อนไหวท่วงท่าภายนอกแล้ว ก็ต้องฝึกต่อเนื่องจนกว่าการรับรู้จะเด่นชัดมากขึ้นเรื่อยๆ จนถึงขั้นเพียงกำหนดจิตนึกคิดเพียงเล็กน้อย การโคจรไหลเวียนภายในก็สามารถทำได้อย่างถูกต้องตามแนวทางที่ฝึกฝนมา

ในขั้นนี้ หากมองเพียงผลลัพธ์การฝึกเพียงภายนอก ร่างกายย่อมมีสุขภาพที่แข็งแรง เนื่องจากการยืน การย่อ การก้าวเดิน การเหยียดแขน การยืดตัว ยืดหลัง และท่าต่างๆนั้นสร้างความแข็งแรงยืดหยุ่นให้ร่างกาย ทำให้หัวใจปอดและอวัยวะอื่นๆได้ออกกำลังกาย ให้เลือดลมไหลไปหล่อเลี้ยงส่วนต่างๆของร่างกายได้เต็มที่ และที่สำคัญนั้นคือ สมาธิ สติ ความทรงจำที่ได้ถูกกระตุ้น ก็ย่อมทำให้ร่างกายและจิตใจได้รับการพัฒนาอย่างองค์รวม

เมื่อผ่านขั้นพื้นฐานแล้ว ในขั้นการนั่งสมาธิ ก็เป็นการกำหนดจิตและกำหนดลมหายใจตามแบบท่วงท่าที่เราฝึกนั่นเอง

สิ่งที่จะได้จากขั้นตอนนี้คือ การฝึกภายใน จิตที่มั่นคง สติที่มีความไวรู้ทันการเคลื่อนไหวรู้ทันอารมณ์ ความคิด และสิ่งที่มากระทบต่างๆ กำลังของสมาธิที่มีมากขึ้น ทำให้มองเห็นรับรู้สิ่งต่างๆได้ละเอียดขึ้นชัดเจนขึ้น และสิ่งที่ตามมาคือ ปัญญาญาณจิตประสาทในการไตร่ตรองใคร่ครวญการกระทำต่างๆ บางคนเข้าใจว่ามันเป็นสัญชาติญาณ แต่หากเป็นสัญชาติญาณธรรมดาที่ติดตัวมา เราจะไม่ต้องมาทนฝึกสิ่งเหล่านี้เลย แต่จิตประสาทปัญญาญาณนั้นเป็นสัญชาติญาณพิเศษที่ถูกฝึกมาดีแล้ว

สมาธิ ไม่ใช่ ชี่ แต่ อี้ หรือจิตที่มีสมาธิสามารถชักนำชี่ได้ ส่วนชี่จะโคจรไปได้หรือไม่ขึ้นกับกำลังสมาธิดีหรือไม่ เส้นชีพจรมีความแข็งแรงคล่องหรือไม่ ร่างกายกระดูกข้อต่างๆมีการเรียงตัวตามธรรมชาติหรือไม่

ปาต้วนจิ่น มีเพียงแปดท่า แต่แปดท่านี้สามารถแยกฝึกได้อีกเป็นหลายๆท่า แต่ละท่ามีจุดสาระสำคัญในการฝึกที่แตกต่างกัน และที่สำคัญ ปาต้วนจิ่น ไม่ใช่แค่กายบริหารยกแขน เหยียดแขน หมุนแขน ก้มตัว เอี้ยวตัว หรือกายบริหารทั่วไป แต่ปาต้วนจิ่นยังมีเคล็ดลับอีกมากมาย ซึ่งซ่อนอยู่ในท่าทาง และต้องถ่ายทอดปากเปล่าจากผู้สอนสู่ผู้เรียนเท่านั้น ไม่สามารถดูหรือฝึกได้เองจากท่วงท่าภายนอก

ซึ่งปาต้วนจิ่นนอกจากกายบริหารแล้ว ยังให้ผลทางการดึงเส้น ดั่งวิชาดัดกระดูก เซินจินป๋ากู่伸筋拔骨 Shēn jīn bá gǔ ให้เรียงตัวตามธรรมชาติด้วย เหมาะสำหรับผู้มีอาการออฟฟิตซินโดรม หลังค่อม ปวดใหล่ ปวดคอต่างๆ

เมื่อสุขภาพพลานามัย จิตประสาทพร้อม การใช้ชีวิตประจำวันก็จะมีความสะดวกสบายมากขึ้น และการเรียนวิชามวยไท่จี๋เฉวียน (มวยไท้เก็ก)太极拳Tàijí quán หรือมวยจีนอื่นๆก็ง่ายขึ้น

--------

สอนวิชาปาต้วนจิ่น มวยไท่จี๋เฉวียน(ไทเก็ก) มวยจีนเพื่อสุขภาพ และการป้องกันตัวด้วยมวยจีน

Learn And Joy Language School โรงเรียนสอนภาษาจีน

https://www.facebook.com/learnandjoy

 


 

วันเสาร์ที่ 9 กรกฎาคม พ.ศ. 2559

เรื่องผีๆกับนักคาราเต้ ณ แดนปลาดิบ

เหล่าบรรดานักคาราเต้จะมีสัมผัสที่ไวต่อเสียงและการรับรู้มากกว่าคนปรกติ หากพูดกันในเชิงศาสนา ก็คืออายตนะ6 หรือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ นั่นเอง

สายตานั้นคมกริบ สามารถมองการจู่โจมได้4ทิศไม่พลาด สามารถมองเห็นและหลบหลีกแม้แต่แมลงสาบที่บินเข้าหา

หูนั้นฟังได้8ทาง ไม่ว่าศัตรูจะจู่โจมจากมุมไหนที่ตามองไม่เห็น ล้วนแล้วแต่ฟังได้จากการเคลื่อนไหว โดยเฉพาะคำนินทาที่แม้แต่แอบกระซิบกันเบาๆก็จักได้ยินแม้อยู่ห่างไกลกันเป็นเมตรๆ

จมูก นั้นสามารถทนต่อกลิ่นที่รุนแรงได้อย่างไม่สะทกสะท้านเนื่องจากไม่มีอะไรเหม็นไปกว่าชุดคาราเต้เน่าๆที่ใส่ซ้อมทุกวันมาเป็นอาทิตย์และไม่ได้ซัก

กายนั้นแข็งแกร่งยิ่งกว่าอิฐมอญเปราะๆที่แค่เคาะก็หัก แต่ก็มีสัมผัสในการอ่านการเคลื่อนไหวของศัตรูแม้เพียงสัมผัส สามารถรับสัมผัสความเจ็บปวดได้ในทันทีแม้โดนกระแทกเพียงเบาๆ

ใจนั้นแน่วแน่มั่นคงไม่เกรงกลัวต่อการกดดันของศัตรู ไม่ว่างานแข่งหรือกินเหล้าเมาหาเรื่องคนอื่นจนโดนเขายำกลับมา

--------------

เหตุการณ์ต่อไปนี้เกิดขึ้น ณ กรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น มหาวิทยาลัยรัฐฯอันดับต้นๆ ซึ่งเป็นมหาวิทยาลัยเก่าแก่ของญี่ปุ่น ตึกเรียนบางตึกมีอายุมากกว่า100ปี

ณ ห้องชมรมคาราเต้ หลังการฝึกซ้อมแลกเปลี่ยนระหว่างคนไทยกับญี่ปุ่น ทุกคนอ่อนเพลียกันมาก เนื่องจากสภาพอากาศอันหนาวเหน็บ จึงทำให้คนไทยไม่เคยชินกับสภาพอากาศ แต่มันก็ไม่ได้เป็นอุปสรรคมากนักสำหรับนักสู้แดนขนมต้ม

อยู่มาวันหนึ่ง ท่านผู้นำชมรม ได้เดินเข้าห้องน้ำที่อยู่ห่างจากห้องชมรมเพียงลำพัง ห้องน้ำนี้มักจะได้ยินเสียงคนกรีดร้องอย่างโหยหวนเป็นประจำ แต่ด้วยอาการปวดท้องอย่างหนักของท่านผู้นำ ท่านจึงไปนั่งปลดทุกข์ที่นั่นด้วยตัวคนเดียว

ทุกครั้งที่ปลดทุกข์หากได้ยินเสียงคนเดินเข้าห้องน้ำก็จะเอ่ยปากถามทันทีว่าใคร ซึ่งส่วนใหญ่ก็เป็นคนไทยเพื่อนๆกัน และพูดคุยกันเพื่อคลายเหงาคลายเปลี่ยว

แน่นอนสำหรับเสียงคนเดินนั้น ไม่อาจจะหลบรอดหูนักคาราเต้ผู้ฝึกฝนมาดีเยี่ยมได้ ยกเว้นแต่จะเป็นยอดฝีมือที่ฝีมือสูงกว่ามากๆเท่านั้น

แต่วันนี้หลังซ้อม ทุกคนนัดกันไปห้องเก็บของของชมรมที่อยู่อีกด้านของอาคาร ต้องเดินผ่านห้องน้ำไปอีกฝั่ง ท่านผู้นำจึงขอปลดทุกข์ก่อนแล้วค่อยตามไป

เมื่อท่านผู้นำกำลังปลดทุกข์เช่นเดิม ด้วยความเงียบสงัด และความหนาวเหน็บแสบรูตูดที่ต้องเอากระดาษสากๆเช็ดก้นท่ามกลางอุณหภูมิอันแสนต่ำ(ใครไม่เคยเช็ดก้นด้วยกระดาษสากๆทุกวันในฤดูอันหนาวเหน็บของญี่ปุ่นไม่มีทางรู้ซึ้งได้หรอก ส้วนสาธารณะมักจะไม่มีที่ฉีดก้นในตำนานนะครับ) อยู่ๆเสียงกรีดร้องอันโหยหวนก็ดังขึ้น และทันใดนั้นไฟห้องน้ำก็ดับลง

มันเป็นไปไม่ได้ที่จะมีคนมาแกล้งปิดไฟ เพราะไม่มีเสียงคนเดินมาในระแวกนี้เลย และเสียงกรีดร้องนั่นมัน

เมื่อคิดได้เช่นนี้ก็รีบๆยิงระเบิดลูกสุดท้ายด้วยความกลัวพร้อมเช็ดก้นให้สะอาดใส่กางเกงให้เรียบร้อย

ทันใดนั้น ท่ามกลางความเงียบสงบและมืดมิดนั้น อยู่ดีๆไฟก็ติด เปิดขึ้นมาอีก เสียงกรีดร้องโหยหวนดังออกมาอีกครั้ง ท่านผู้นำเริ่มใจแป๊วไปอยู่ที่ตาตุ่ม ยืนแข็งทื่อนิ่งไม่ขยับกาย ใช้ประสาทสัมผัสทั้งหมดจับอาการเคลื่อนไหวรอบตัวอย่างระแวงระวัง หากนี่เป็นคนเรายังสู้ได้ แต่หากว่ามันเป็นอย่างว่าหล่ะ

เมื่อท่านผู้นำหยุดนิ่งสักครู่ ไฟดับอีกโดยที่ระแวกนั้นไม่มีเสียงหรือการเคลื่อนไหวของใครอยู่ใกล้ๆเลย

ท่านผู้นำหมดความอดทนด้วยความตกใจรีบเปิดประตูวิ่งออกมาด้วยความกลัว

ทันใดนั้นเอง ก็เห็นนักเคนโด้เดินออกมาจากห้องชมรมเคนโด ซึ่งอยู่หลังห้องน้ำ พอมองเข้าไปในห้องเคนโด เสียงกรีดร้องโหยหวนนั้นคือเสียงร้องคิไอของนักเคนโดนี่เอง มันช่างร้องได้โหยหวนยิ่งนัก(ใครไม่เคยได้ยินขอให้ลองไปฟังไอ้ชมรมมหาลัยนี้ร้องคิไอ มันคิไอร้องอย่างกับหมูโดนเชือด) (คิไอ คือการเปล่งเสียงร้องของนักสู้เพื่อทำการกดดันคู่ต่อสู้ หรือเพื่อสร้างกำลังใจให้ตนเอง อีกทั้งยังสามารถเค้นพละกำลังได้เป็นอย่างดี หากทำได้อย่างถูกต้อง)

เมื่อคิดได้ดังนั้น ใจก็สงบลงส่วนหนึ่งจึงรวบรวมกำลังใจเดินกลับไปห้องน้ำเพื่อพิสูจน์สิ่งที่มองไม่เห็นอีกรอบ

เมื่อมาถึงห้องน้ำแล้ว ไฟที่มืดมิด ห้องน้ำที่เก่าแก่อันน่ากลัวปราศจากผู้คน ขณะที่ท่านผู้นำก้าวเท้าเข้าไปนั้น ไฟก็ติดเปิดขึ้นมาอัติโนมัติ ท่านผู้นำนิ่งข่มความกลัวไว้ มองซ้าย มองขวา เผื่อมีผีฮานาโกะโผล่ออกมาจากส้วมหลุม แต่ก็ไม่มีผู้ใด มองข้างล่างเผื่อมีซอมบี้คลานอยู่ก็ไม่มี มองข้างบนเพดานเผื่อมีผีห้อยหัวอยู่ แต่ทุกสิ่งนั้นล้วนไม่มีตัวตนใดๆในความเป็นจริง แล้วสิ่งที่ท่านผู้นำเจอหล่ะ

เมื่อท่านผู้นำคิดได้อย่างนั้นไฟก็ดับลงอีกครั้ง ท่านผู้นำก็ต๊กกะใจอีกรอบกระโดดตัวออกมาตั้งหลักนอกห้องน้ำ ทันใดนั้นไฟก็ติดเปิดขึ้นอีกครั้ง

ท่านผู้นำนิ่งอยู่หน้าห้องน้ำอยู่นานไฟก็ดับลงอีก ท่านผู้นำเริ่มสัมผัสถึงความไม่ชอบมาพากล จึงรวบรวมสติเดินเข้าไปสำรวจอีกครั้ง

ครั้งนี้เมื่อรวมสติดีแล้ว เมื่อเข้าใกล้ประตูห้องน้ำเหมือนเห็น ดวงตาสีแดงๆเป็นประกายอยู่ริมกำแพง เหมือนเป็นตาของสัตว์ร้ายก็ไม่ปาน ท่านผู้นำคิดเอาฟะ เป็นไงเป็นกัน ต้องพิสูจน์ตำนานผีมหาลัยของญี่ปุ่นให้ได้ เลยเดินเข้าไป

ทันใดนั้นไฟก็เปิดขึ้น แต่ด้วยสติอันรวบรวมตั้งมั่นไว้ดี ท่านผู้นำจึงเห็นเจ้าสิ่งประหลาดนั้นได้อย่างชัดเจน พร้อมกับเสียงร้องออกมาว่า

......ป๊าาาดโถ่เอ้ย สวิสต์ไฟอัติโนมัต แบบจับการเคลื่อนไหว (มีคนขยับไฟก็ติดสักนาทีสองนาที พอไม่มีการเคลื่อนไหวก็ดับ)

เรื่องนี้สอนให้รู้ว่า.....อย่ามโน.....

(เรื่องนี้เป็นเรื่องแต่งขึ้นเกิน50%เพื่อความฮา แต่นำมาจากเค้าโครงจริง) (ขออภัยท่านผู้นำสมัยนั้นด้วย ผมไม่ได้เอ่ยชื่อท่าน แต่คนเก่าแก่จะรู้ว่าท่านคือใคร แต่ผมบอกแล้วนี่เรื่องแต่ง)
ตัวอย่างการคิไอของเคนโด ในคลิปเป็นสำนักดาบโบราณ ชื่อว่า จิเกนริว เคนจิทสุ ในชมรมเคนโดที่ได้ยินนั้น เป็นเสียงของเด็กชมรมที่ซ้อมหวดลม และเปร่งเสียงคิไอ ท่าทางคุณเธอจะเหนื่อยมาก เสียงเลยร้องแบบเสียงหลงคีย์ เสียงแบบโดนเชือดปานนั้น