วันอาทิตย์ที่ 6 มีนาคม พ.ศ. 2559

เรื่องราวความศักดิ์สิทธิ์ และความงมงายบนเขาคิชฌกูฏ

เรื่องราวความศักดิ์สิทธิ์ และความงมงายบนเขาคิชฌกูฏ

                หลายคนคงจะรู้จักเขาคิชฌกูฏเมืองไทยแห่งจันทบุรี ว่ามีความศักดิ์สิทธิ์เป็นอย่างมาก เป็นสถานที่ที่เต็มไปด้วยความศรัทธาของสาธุชาวพุทธ ผู้ที่แสดงบุญจาริกขึ้นไปสักการะรอยพระพุทธบาท และหินลูกบาตรซึ่งมีความเชื่อว่าหินลูกนั้นลอยอยู่เหนือยอดเขาคิชฌกูฏ ซึ่งครูบาอาจารย์ท่านก็ได้ทดลองนำสายสิญจน์มาลอดผ่านช่องว่างที่หินนั้นตั้งอยู่ก็ปรากฏว่าสามารถลอดผ่านได้อย่างน่าอัศจรรย์ จึงเป็นสิ่งที่ยืนยันความเชื่อความศรัทธาว่า หินลูกนี้ลอยอยู่ได้ด้วยอำนาจความศักดิ์สิทธิ์ของพระพุทธเจ้าและเหล่าอรหันต์เถระ รวมไปถึงเทพเทวดาที่คอยปกปักรักษารอยพระพุทธบาทนี้
                เขาคิชฌกูฏนั้นเป็นเขาที่มีทางขึ้นสูงชัน รถยนต์ธรรมดาไม่สามารถขับขึ้นไปได้ ต้องใช้รถที่แต่งเครื่องยนต์พิเศษและการขับขี่ที่เชี่ยวชาญชำนาญทางเป็นอย่างสูง ถึงจะสามารถขับขี่ขึ้นไปได้ และเมื่อถึงจุดๆหนึ่งก็ยังต้องเดินเท้าขึ้นไปเนื่องจากรถไม่สามารถขับขึ้นไปได้ ซึ่งการเดินทางในปัจจุบันนี้อาจจะเรียกได้ว่ามีความสะดวกสบายมากขึ้นกว่าแต่ก่อน
แต่เดิมเขาคิชฌกูฏขึ้นชื่อเรื่องความลำบากในการขึ้นไปสักการะรอยพระบาทมาก เนื่องจากต้องเดินเท้าเข้าป่าที่มีทั้งสัตว์ป่าดุร้าย การหลงป่า แถมยังเป็นเขาสูงชัน ดังนั้นผู้ที่จะไปสักการะได้นั้นต้องเป็นผู้ที่ตั้งใจแน่วแน่ และมีความศรัทธาสูงจริงๆ เนื่องจากความตั้งใจอย่างแน่วแน่ไม่ลดละความพยายามนั้น เป็นสมาธิชนิดหนึ่ง การครองความตั้งใจอย่างนี้จนฝ่าความลำบากไปสักการะพระบาทได้นั้น จึงเต็มเปี่ยมไปด้วยอานิสงค์ของกุศลผลบุญอย่างสูง สร้างความปิติสุขอิ่มใจให้กับผู้แสวงบุญเป็นอย่างมาก และด้วยความศักดิ์สิทธิ์แห่งรอยพระพุทธบาทรวมกับกุศลผลบุญที่ตั้งใจมากราบสักการะรอยพระพุทธบาทนั้นจึงยังผลสำเร็จมาสู่คำอธิฐานต่างๆได้อย่างไม่น่าเชื่อ จึงเป็นที่มาของการเล่าลือถึงความศักดิ์สิทธิ์ของเขาคิชฌกูฏ

สิ่งที่ว่ามาข้างต้นมันไม่ใช่สิ่งงมงาย แต่เป็นสิ่งที่เหนือการพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์ และสามารถพบได้มากในเรื่องราวตำนานทางพระพุทธศาสนา และผู้ที่สามารถสัมผัสได้จะต้องเป็นผู้ที่มีการฝึกจิตในสมาธิจนเป็นผู้มีจิตละเอียดถึงสามารถที่จะรับรู้ในสิ่งที่เป็นสิ่งละเอียดได้
แต่สิ่งที่มาคู่กันพร้อมกับความศรัทธา และสิ่งที่เป็นสิ่งละเอียดที่ต้องใช้สมาธิจิตในการสัมผัสแล้วนั้น ก็มักจะเป็นความงมงาย ความเชื่อที่ปราศจากปัญญา รวมไปถึงการหลอกลวงจากผู้ที่ฉวยโอกาสกอบโกยผลประโยชน์ ดังจะเห็นได้จากการระหว่างทางขึ้นเขา จะมีพระพุทธรูปวางเรียงกันมากมายตามโขดหิน มีการโปรยดอกไม้ตามตามพื้นทั้งทาง และตามตอไม้ มีการเอาธูปไปค้ำตามซอกหิน มีเอาเหรียญไปแปะไว้ตามหิน ถามว่าสิ่งเหล่านี้ทำไปเพื่ออะไร เป็นสิ่งที่ศาสนาพุทธสอนจริงหรือ ยิ่งไปกว่านั้นพ่อค้าแม่ขายบางคน โฆษณาขายดอกไม้ว่า เป็นประเพณีเป็นธรรมเนียมปฏิบัติว่าต้องซื้อดอกไม้ไปโปรยระหว่างทางเนื่องจากโปรยให้เทพเทวดานั้นรับรู้รับทราบว่าเราผู้แสวงบุญมาแล้ว โปรยต้อนรับเทพเทวดาที่มาสักการะรอยพระบาท
เอากับเขาสิ มีแต่เทวดามาร่วมอนุโมทนากับผู้แสวงบุญ มาปกปักรักษา มาต้อนรับผู้แสวงบุญ แต่นี่กลับกลายเป็นผู้แสวงบุญต้องโปรยดอกไม้รับเทพเทวดา โปรยดอกไม้เพื่อประกาศบอกให้เทวดารู้ว่าเรามาแล้ว ไอ้เรื่องโปรยดอกไม้หน่ะ มันเกิดจากผู้คนจะเอาดอกไม้ไปสักการะรอยพระบาท แต่ดอกไม้นั้นล่วงหล่นตามรายทาง คนที่เดินตามๆกันมาเห็นดอกไม้ตามทางก็คิดว่าคราวหน้ามาต้องหาดอกไม้มาโปรยตามเขากันบ้าง มีคนทำถุงดอกไม้แตกหล่นอยู่บนตอไม้ คนหลังๆเห็นดอกไม้ท่วมตอก็คิดว่าเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ต้องเอาดอกไม้มาบูชา ก็กราบไหว้ตอไม้กันยกใหญ่ คนหลังๆมาเห็นคนกราบไหว้ยังไม่มีธูปปักก็หาธูปมาปักกราบไหว้กันยกใหญ่

เดินขึ้นเขาเหนื่อยๆแต่จะนั่งพักก็อายคนอื่นว่าไม่แข็งแรงก็แสร้างทำเป็นเอาธูปมาปัก เอาไปค้ำไว้ตามซอกหิน ทำเนียนว่าฉันไม่ได้หยุดพักเพราะเหนื่อยนะ แต่ฉันกำลังอธิฐานอยู่ คนเห็นต่อๆกันก็คิดว่า โอ้....การเอาธูปไปปักค้ำไว้ที่ซอกหิน อุปมาเหมือนกับเราค้ำภูเขาอันศักดิ์สิทธิ์เอาไว้ ชีวิตนี้ก็จะได้มีแต่คนค้ำจุนอุปถัมภ์ ไม่ร่วงหล่น คนก็แห่กันเอาธูปไปปักค้ำหินกันจนดูรกตา ทิ้งขยะให้เกลื่อนภูเขา บางคนยิ่งกว่าคงจะไม่มีธูปไปค้ำภูเขากับคนอื่นเขา ก็แก้เขินด้วยการเอาเหรียญมาขีดๆขูดๆก้อนหิน เผอิญเหรียญมันติดกับแผ่นหิน ติดกับผนังหินได้พอดี ก็อเมซิ่งกันยกใหญ่ คนเห็นต่อๆมาก็คิดว่า โอ้....พระเจ้า หากเราเอาเหรียญมาติดได้ แสดงว่าจะเป็นการดูดเงินดูดทองดูดโชคลาภสินะ ก็แห่กันเอาเหรียญไปติดตามผนังภูเขากัน เอาเหรียญติดไม่ได้ก็สรรหาแบ๊งค์ต่างๆมาม้วนๆแล้วก็ยัดตามรูตามซอก กว่าจะขึ้นมาถึงยอดเขาที่สักการะรอยพระบาท ธูปก็หมด ดอกไม้ก็หมด เหรียญที่จะมาทำบุญบูชาชำระหนี้สงฆ์ ร่วมบุญก็หมดเกลี้ยง กลายเป็นขึ้นมาสักการะพระบาทตัวเปล่า พร้อมความศรัทธาต่อความงมงายจนหมดสิ้น


เรื่องเหล่านี้คณะสงฆ์ที่ดูแลเขาคิชฌกูฏ พยายามประชาสัมพันธ์กันมานาน แต่ก็น่าแปลกใจที่มันแทบจะไม่มีผลต่อความงมงายของคนไทยเราเลย จะว่าเพราะขาดความรู้ความเข้าใจในพระพุทธศาสนาก็ว่าได้ หรือว่าจะเพราะขาดความเฉลียวดีนะ




การสักการะรอยพระพุทธบาทเขาคิชฌกูฏให้ได้กุศลผลบุญ
1.     ควรจะตั้งจิตตั้งใจให้แน่วแน่ เป็นไปได้ก่อนจะมาควรถือศีลห้าให้ครบ ทำจิตใจสบายๆ เตรียมดอกไม้ธูปเทียนและเครื่องสักการะอื่นๆไว้ถวายเป็นอามิสบูชา
2.     ขณะเดินขึ้นไปสักการะ หากเป็นไปได้ให้ภาวนา พุทโธ หรือบทห้องพุทธคุณ(อิติปิโสฯ) หรือพระคาถาที่ถนัดไปจนตลอดทาง
3.     เมื่อถึงยอดเขาแล้วให้หาที่สงบ(ไม่จำเป็นต้องทำที่ลานพระพุทธบาท)ตั้งจิตตั้งใจกราบไหว้นมัสการพระพุทธเจ้า กล่าวคำขอขมาพระรัตนตรัย และสวดมนต์ พุทธคุณ ธรรมคุณ สังฆคุณ พาหุง มหากาฯ
4.     เมื่อเสร็จแล้วให้ทำปฏิบัติจิตภาวนานั่งสมาธิดูลมหายใจ สำรวมกายใจเป็นเวลาสักครู่(จะกี่นาทีก็แล้วแต่สะดวก)
5.     ถวายดอกไม้ธูปเทียนเครื่องสักการะเป็นอามิสบูชา และตั้งใจถวายการปฏิบัติทั้งหมดตั้งแต่ต้นจนถึงการนั่งสมาธิเป็นปฏิบัติบูชาแก่พระสัมมาสัมพุทธเจ้า (เท่ากับเราได้บูชาพระพุทธเจ้าทั้งอามิสบูชา และปฏิบัติบูชา) (ปฏิบัติบูชาเป็นการบูชาที่พระพุทธเจ้าทรงสรรเสริญมากที่สุด)
6.     แผ่เมตตา อุทิศบุญกุศลให้เจ้ากรรมนายเวร เทวดาอารักษ์ ภุมเทวดา ญาติบรรพบุรุษทั้งหลาย และอธิฐาน แผ่เมตตาให้ตัวเอง
7.     กราบลาพระ เดินชมวิว บรรยากาศ
8.     แวะถ้ำปู่ฤาษี อุทิศบุญกุศลให้ปู่ฤาษีผู้เป็นผู้ปกปักรักษารอยพระบาท และอธิฐานให้ปู่ฤาษีเมตตา
9.     เดินทางกลับอย่างปลอดภัย


ก็หวังแต่เพียงว่า จะมีผู้ที่ได้อ่านบทความนี้แล้วปรับทัศนคติตนเอง และตั้งใจปฏิบัติให้ถูกต้อง ไม่หลงไปตามความเชื่อความงมงาย คำลวงที่ว่าเป็นธรรมเนียม เป็นประเพณีดั้งเดิมของการสักการะบูชารอยพระบาท

ขอให้ทุกคนที่ได้อ่านได้ปฏิบัติตามมีความเจริญขึ้นทั้งทางโลกทางธรรม มีปัญญาและกำลังที่จะตัดความโลภโกรธหลง ตัดความไม่รู้ให้สิ้นไป ด้วยเทอญ

สาธุ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น