เรื่องราวความศักดิ์สิทธิ์
และความงมงายบนเขาคิชฌกูฏ
หลายคนคงจะรู้จักเขาคิชฌกูฏเมืองไทยแห่งจันทบุรี
ว่ามีความศักดิ์สิทธิ์เป็นอย่างมาก
เป็นสถานที่ที่เต็มไปด้วยความศรัทธาของสาธุชาวพุทธ
ผู้ที่แสดงบุญจาริกขึ้นไปสักการะรอยพระพุทธบาท และหินลูกบาตรซึ่งมีความเชื่อว่าหินลูกนั้นลอยอยู่เหนือยอดเขาคิชฌกูฏ
ซึ่งครูบาอาจารย์ท่านก็ได้ทดลองนำสายสิญจน์มาลอดผ่านช่องว่างที่หินนั้นตั้งอยู่ก็ปรากฏว่าสามารถลอดผ่านได้อย่างน่าอัศจรรย์
จึงเป็นสิ่งที่ยืนยันความเชื่อความศรัทธาว่า หินลูกนี้ลอยอยู่ได้ด้วยอำนาจความศักดิ์สิทธิ์ของพระพุทธเจ้าและเหล่าอรหันต์เถระ
รวมไปถึงเทพเทวดาที่คอยปกปักรักษารอยพระพุทธบาทนี้
เขาคิชฌกูฏนั้นเป็นเขาที่มีทางขึ้นสูงชัน
รถยนต์ธรรมดาไม่สามารถขับขึ้นไปได้
ต้องใช้รถที่แต่งเครื่องยนต์พิเศษและการขับขี่ที่เชี่ยวชาญชำนาญทางเป็นอย่างสูง
ถึงจะสามารถขับขี่ขึ้นไปได้
และเมื่อถึงจุดๆหนึ่งก็ยังต้องเดินเท้าขึ้นไปเนื่องจากรถไม่สามารถขับขึ้นไปได้
ซึ่งการเดินทางในปัจจุบันนี้อาจจะเรียกได้ว่ามีความสะดวกสบายมากขึ้นกว่าแต่ก่อน
แต่เดิมเขาคิชฌกูฏขึ้นชื่อเรื่องความลำบากในการขึ้นไปสักการะรอยพระบาทมาก
เนื่องจากต้องเดินเท้าเข้าป่าที่มีทั้งสัตว์ป่าดุร้าย การหลงป่า
แถมยังเป็นเขาสูงชัน ดังนั้นผู้ที่จะไปสักการะได้นั้นต้องเป็นผู้ที่ตั้งใจแน่วแน่
และมีความศรัทธาสูงจริงๆ เนื่องจากความตั้งใจอย่างแน่วแน่ไม่ลดละความพยายามนั้น
เป็นสมาธิชนิดหนึ่ง การครองความตั้งใจอย่างนี้จนฝ่าความลำบากไปสักการะพระบาทได้นั้น
จึงเต็มเปี่ยมไปด้วยอานิสงค์ของกุศลผลบุญอย่างสูง
สร้างความปิติสุขอิ่มใจให้กับผู้แสวงบุญเป็นอย่างมาก
และด้วยความศักดิ์สิทธิ์แห่งรอยพระพุทธบาทรวมกับกุศลผลบุญที่ตั้งใจมากราบสักการะรอยพระพุทธบาทนั้นจึงยังผลสำเร็จมาสู่คำอธิฐานต่างๆได้อย่างไม่น่าเชื่อ
จึงเป็นที่มาของการเล่าลือถึงความศักดิ์สิทธิ์ของเขาคิชฌกูฏ
สิ่งที่ว่ามาข้างต้นมันไม่ใช่สิ่งงมงาย
แต่เป็นสิ่งที่เหนือการพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์
และสามารถพบได้มากในเรื่องราวตำนานทางพระพุทธศาสนา
และผู้ที่สามารถสัมผัสได้จะต้องเป็นผู้ที่มีการฝึกจิตในสมาธิจนเป็นผู้มีจิตละเอียดถึงสามารถที่จะรับรู้ในสิ่งที่เป็นสิ่งละเอียดได้
แต่สิ่งที่มาคู่กันพร้อมกับความศรัทธา
และสิ่งที่เป็นสิ่งละเอียดที่ต้องใช้สมาธิจิตในการสัมผัสแล้วนั้น
ก็มักจะเป็นความงมงาย ความเชื่อที่ปราศจากปัญญา รวมไปถึงการหลอกลวงจากผู้ที่ฉวยโอกาสกอบโกยผลประโยชน์
ดังจะเห็นได้จากการระหว่างทางขึ้นเขา จะมีพระพุทธรูปวางเรียงกันมากมายตามโขดหิน
มีการโปรยดอกไม้ตามตามพื้นทั้งทาง และตามตอไม้ มีการเอาธูปไปค้ำตามซอกหิน
มีเอาเหรียญไปแปะไว้ตามหิน ถามว่าสิ่งเหล่านี้ทำไปเพื่ออะไร
เป็นสิ่งที่ศาสนาพุทธสอนจริงหรือ ยิ่งไปกว่านั้นพ่อค้าแม่ขายบางคน
โฆษณาขายดอกไม้ว่า
เป็นประเพณีเป็นธรรมเนียมปฏิบัติว่าต้องซื้อดอกไม้ไปโปรยระหว่างทางเนื่องจากโปรยให้เทพเทวดานั้นรับรู้รับทราบว่าเราผู้แสวงบุญมาแล้ว
โปรยต้อนรับเทพเทวดาที่มาสักการะรอยพระบาท
เอากับเขาสิ มีแต่เทวดามาร่วมอนุโมทนากับผู้แสวงบุญ
มาปกปักรักษา มาต้อนรับผู้แสวงบุญ
แต่นี่กลับกลายเป็นผู้แสวงบุญต้องโปรยดอกไม้รับเทพเทวดา
โปรยดอกไม้เพื่อประกาศบอกให้เทวดารู้ว่าเรามาแล้ว ไอ้เรื่องโปรยดอกไม้หน่ะ
มันเกิดจากผู้คนจะเอาดอกไม้ไปสักการะรอยพระบาท แต่ดอกไม้นั้นล่วงหล่นตามรายทาง คนที่เดินตามๆกันมาเห็นดอกไม้ตามทางก็คิดว่าคราวหน้ามาต้องหาดอกไม้มาโปรยตามเขากันบ้าง
มีคนทำถุงดอกไม้แตกหล่นอยู่บนตอไม้
คนหลังๆเห็นดอกไม้ท่วมตอก็คิดว่าเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ต้องเอาดอกไม้มาบูชา
ก็กราบไหว้ตอไม้กันยกใหญ่ คนหลังๆมาเห็นคนกราบไหว้ยังไม่มีธูปปักก็หาธูปมาปักกราบไหว้กันยกใหญ่
เดินขึ้นเขาเหนื่อยๆแต่จะนั่งพักก็อายคนอื่นว่าไม่แข็งแรงก็แสร้างทำเป็นเอาธูปมาปัก
เอาไปค้ำไว้ตามซอกหิน ทำเนียนว่าฉันไม่ได้หยุดพักเพราะเหนื่อยนะ
แต่ฉันกำลังอธิฐานอยู่ คนเห็นต่อๆกันก็คิดว่า
โอ้....การเอาธูปไปปักค้ำไว้ที่ซอกหิน อุปมาเหมือนกับเราค้ำภูเขาอันศักดิ์สิทธิ์เอาไว้
ชีวิตนี้ก็จะได้มีแต่คนค้ำจุนอุปถัมภ์ ไม่ร่วงหล่น
คนก็แห่กันเอาธูปไปปักค้ำหินกันจนดูรกตา ทิ้งขยะให้เกลื่อนภูเขา
บางคนยิ่งกว่าคงจะไม่มีธูปไปค้ำภูเขากับคนอื่นเขา
ก็แก้เขินด้วยการเอาเหรียญมาขีดๆขูดๆก้อนหิน เผอิญเหรียญมันติดกับแผ่นหิน
ติดกับผนังหินได้พอดี ก็อเมซิ่งกันยกใหญ่ คนเห็นต่อๆมาก็คิดว่า โอ้....พระเจ้า
หากเราเอาเหรียญมาติดได้ แสดงว่าจะเป็นการดูดเงินดูดทองดูดโชคลาภสินะ
ก็แห่กันเอาเหรียญไปติดตามผนังภูเขากัน
เอาเหรียญติดไม่ได้ก็สรรหาแบ๊งค์ต่างๆมาม้วนๆแล้วก็ยัดตามรูตามซอก กว่าจะขึ้นมาถึงยอดเขาที่สักการะรอยพระบาท
ธูปก็หมด ดอกไม้ก็หมด เหรียญที่จะมาทำบุญบูชาชำระหนี้สงฆ์ ร่วมบุญก็หมดเกลี้ยง
กลายเป็นขึ้นมาสักการะพระบาทตัวเปล่า พร้อมความศรัทธาต่อความงมงายจนหมดสิ้น
เรื่องเหล่านี้คณะสงฆ์ที่ดูแลเขาคิชฌกูฏ
พยายามประชาสัมพันธ์กันมานาน
แต่ก็น่าแปลกใจที่มันแทบจะไม่มีผลต่อความงมงายของคนไทยเราเลย
จะว่าเพราะขาดความรู้ความเข้าใจในพระพุทธศาสนาก็ว่าได้
หรือว่าจะเพราะขาดความเฉลียวดีนะ
การสักการะรอยพระพุทธบาทเขาคิชฌกูฏให้ได้กุศลผลบุญ
1.
ควรจะตั้งจิตตั้งใจให้แน่วแน่ เป็นไปได้ก่อนจะมาควรถือศีลห้าให้ครบ
ทำจิตใจสบายๆ เตรียมดอกไม้ธูปเทียนและเครื่องสักการะอื่นๆไว้ถวายเป็นอามิสบูชา
2.
ขณะเดินขึ้นไปสักการะ หากเป็นไปได้ให้ภาวนา พุทโธ หรือบทห้องพุทธคุณ(อิติปิโสฯ)
หรือพระคาถาที่ถนัดไปจนตลอดทาง
3.
เมื่อถึงยอดเขาแล้วให้หาที่สงบ(ไม่จำเป็นต้องทำที่ลานพระพุทธบาท)ตั้งจิตตั้งใจกราบไหว้นมัสการพระพุทธเจ้า
กล่าวคำขอขมาพระรัตนตรัย และสวดมนต์ พุทธคุณ ธรรมคุณ สังฆคุณ พาหุง มหากาฯ
4.
เมื่อเสร็จแล้วให้ทำปฏิบัติจิตภาวนานั่งสมาธิดูลมหายใจ
สำรวมกายใจเป็นเวลาสักครู่(จะกี่นาทีก็แล้วแต่สะดวก)
5.
ถวายดอกไม้ธูปเทียนเครื่องสักการะเป็นอามิสบูชา
และตั้งใจถวายการปฏิบัติทั้งหมดตั้งแต่ต้นจนถึงการนั่งสมาธิเป็นปฏิบัติบูชาแก่พระสัมมาสัมพุทธเจ้า
(เท่ากับเราได้บูชาพระพุทธเจ้าทั้งอามิสบูชา และปฏิบัติบูชา) (ปฏิบัติบูชาเป็นการบูชาที่พระพุทธเจ้าทรงสรรเสริญมากที่สุด)
6.
แผ่เมตตา อุทิศบุญกุศลให้เจ้ากรรมนายเวร เทวดาอารักษ์ ภุมเทวดา ญาติบรรพบุรุษทั้งหลาย
และอธิฐาน แผ่เมตตาให้ตัวเอง
7.
กราบลาพระ เดินชมวิว บรรยากาศ
8.
แวะถ้ำปู่ฤาษี อุทิศบุญกุศลให้ปู่ฤาษีผู้เป็นผู้ปกปักรักษารอยพระบาท
และอธิฐานให้ปู่ฤาษีเมตตา
9.
เดินทางกลับอย่างปลอดภัย
ก็หวังแต่เพียงว่า จะมีผู้ที่ได้อ่านบทความนี้แล้วปรับทัศนคติตนเอง และตั้งใจปฏิบัติให้ถูกต้อง ไม่หลงไปตามความเชื่อความงมงาย คำลวงที่ว่าเป็นธรรมเนียม เป็นประเพณีดั้งเดิมของการสักการะบูชารอยพระบาท
ขอให้ทุกคนที่ได้อ่านได้ปฏิบัติตามมีความเจริญขึ้นทั้งทางโลกทางธรรม มีปัญญาและกำลังที่จะตัดความโลภโกรธหลง ตัดความไม่รู้ให้สิ้นไป ด้วยเทอญ
สาธุ
ขอให้ทุกคนที่ได้อ่านได้ปฏิบัติตามมีความเจริญขึ้นทั้งทางโลกทางธรรม มีปัญญาและกำลังที่จะตัดความโลภโกรธหลง ตัดความไม่รู้ให้สิ้นไป ด้วยเทอญ
สาธุ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น