วันอังคารที่ 26 เมษายน พ.ศ. 2559

บทสัมภาษณ์ อ.ยิ่งยง จงทวีธรรม เกี่ยวกับคาราเต้ (บทสัมภาษณ์เก่าปี2012)

     คาราเต้ เป็นศิลปะการต่อสู้ป้องกันตัว และกีฬาต่อสู้ชนิดหนึ่งที่ได้รับความสนใจจากคนทั่วโลก แต่ในประเทศไทยของเรานั้นน้อยคนนักที่จะรู้จักคาราเต้อย่างแท้จริงว่าเป็นกีฬาอย่างไร ในวันนี้ทีมงานของเราได้เชิญศิษย์เก่าของมหาวิทยาลัยกรุงเทพท่านหนึ่งซึ่งเรียกได้ว่าเป็นยอดฝีมือท่านหนึ่งในวงการคาราเต้ประเทศไทย และยังเป็นผู้ที่มีความรู้เกี่ยวกับคาราเต้อย่างกว้างขวาง รุ่นพี่ท่านนี้ก็คือ คุณยิ่งยง จงทวีธรรม หรือพี่ตี๋นั่นเอง ปัจจุบันพี่ตี๋นอกจากจะรับสอนคาราเต้ตามที่ต่างๆแล้ว ยังเป็นทั้งผู้ฝึกสอนคาราเต้ให้กับจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มหาวิทยาลัยกรุงเทพ และยังเป็นกรรมการตัดสินของสมาคมคาราเต้แห่งประเทศไทยอีกด้วย ครั้งนี้พวกเรานอกจากจะได้รับความรู้ในด้านคาราเต้แล้ว เรายังได้ทราบถึงชีวิตคร่าวๆของพี่ตี๋อีกด้วย
            “คาราเต้เป็นวิชาการต่อสู้ชนิดหนึ่งที่เน้นฝึกตนเองให้ร่างกายกับจิตใจรวมเป็นหนึ่ง โดยมีแนวคิดสูงสุดคือใช้แรงให้น้อยที่สุดก่อเกิดแรงที่มากที่สุดในการโจมตีหรือป้องกันตัวเอง และเป็นวิชาที่ไม่ทำร้ายผู้อื่นก่อน คาราเต้จึเป็นทั้งศาสตร์ และศิลป์ที่ลึกซึ้งมาก” พี่ตี๋กล่าวถึงภาพรวมของสิ่งที่เรียกว่าวิชาคาราเต้ นอกจากนี้ยังได้กล่าวถึงคาราเต้ในมุมมองของกีฬาอีกด้วย“คาราเต้ฝึกเพื่อควบคุมการโจมตีของตัวเองออกให้เร็วแรงที่สุด แต่จะต้องหยุดหมัดเมื่อถึงตัว ไม่ทำร้ายคู่ต่อสู้ นี่ถึงจะเรียกได้ว่าสิ่งที่สุดยอด และเป็นเสน่ห์ที่สุดของคาราเต้ ซึ่งการแข่งขันคาราเต้ก็นำจุดนี้มาพัฒนาเป็นกฏกติกาการแข่งขันของคาราเต้ด้วย”
            พี่ตี๋เล่าว่า การมาพบกันระหว่างหนุ่มน้อยขี้กลัวร่างกายแสนจะบอบบางอ่อนแอกับวิชาต่อสู้ที่แลดูโหดร้ายนี้พบกันได้อย่างไรนั้น มันเริ่มมาจากตอนสมัยมัธยม เนื่องจากร่างกายผอมๆแถมขี้กลัว จึงทำให้โดนเพื่อนๆแกล้งอยู่เสมอ อยู่มาวันหนึ่งทนไม่ไหว คิดได้ว่าตัวเองปกป้องตนเองไม่ได้ แล้วจะไปดูแลน้องสาวสองคนกับแฟนในอนาคตได้อย่างไร จึงคิดหาทางออกโดยการฝึกศิลปะการต่อสู้ป้องกันตัวเพื่อปกป้องตัวเอง และน้องสาวสองคน  ซึ่งกีฬาที่เลือกฝึกคือกีฬาคาราเต้โด ของชมคาราเต้ที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย  โดยมีเซนเซ(อาจารย์) และรุ่นพี่สายดำเป็นผู้สอน  และเมื่อฝึกมาได้ประมาณ 4 ปี ก็ได้ผ่านการสอบระดับสายดำระดับขั้นแรกหรือหนึ่งดั้ง เมื่อมีการแข่งขันคัดเลือกนักกีฬาทีมชาติในปีนั้น รุ่นพี่หลายท่านบังคับให้ไปแข่งขันด้วย โดยที่รุ่นพี่บอกว่า ลองไปแข่งดู เพื่อวัดระดับฝีมือของตัวเองว่าทำได้หรือไม่  ถ้าเราทำได้ ได้รับการคัดเลือกแต่เราไม่สมัครใจอยากจะเป็น เราก็สามารถถอนตัวออกมาได้”  จากการไปแข่งคัดตัวทีมชาติครั้งนั้น ผลที่ได้คือผ่านการคัดเลือก แต่รุ่นพี่นั้นกลับคำพูด ”ตี๋ ในสำนักของเรามีตี๋คนเดียวนะที่ติดทีมชาติ จะปล่อยให้สำนักอื่นเค้ามีหน้ามีตากว่าเราหรอ สายดำที่ได้มาหน่ะค้ำคอแกอยู่นะ” รุ่นพี่กล่าว พี่ตี๋เล่าเรื่องนี้พร้อมกับหัวเราะออกมา และนี่กลายเป็นจุดพลิกผันของคนที่ฝึกฝนคาราเต้โดยไม่สนใจการแข่ง แต่แล้วกลับต้องมาเป็นนักกีฬาเพื่อการแข่งขัน
            คาราเต้โดไม่ใช่แค่เป็นกีฬาที่สอนให้เราต่อสู้และใช้ความรุนแรงเพียงอย่างเดียว แต่ที่จริงแล้วคาราเต้โดสอนการห้ามใช้ความรุนแรงในการต่อสู้  สอนให้รู้จักการฝึกวินัย  ความอดทน  สมาธิ  ความคิด  ประสาทสัมผัส  ของตัวเราจากการฝึกรูปแบบคาราเต้โด เราต้องฝึกร่างกายของตนเอง ให้พร้อมกับท่าทางในการต่อสู้ ฝึกสมาธิ สายตาของตนเอง  และพี่ตี๋เสริมต่อว่า  กีฬานี้นอกจากจะเสริมสร้างพลานามัยและยังเสริมบุคลิกภาพตัวเอง ในสมัยก่อนผมเป็นคนที่ใจร้อนมาก  พอฝึกคาราเต้ทำให้ผมใจเย็นลงและทำให้ผมมีสมาธิในการทำสิ่งต่างๆมากขึ้น และระบบการฝึกของคาราเต้ยังสอนให้รู้จักการอ่อนน้อมถ่อมตน  ถ้าเราไม่มีวินัยหรือความเป็นมนุษยธรรม เราก็จะไม่ได้รับการฝึกฝนหรือพัฒนาตนเองเลย ดังนั้นผมคิดว่า คาราเต้เป็นอะไรที่สุดยอดเพราะทำให้ผมได้เรียนรู้อะไรหลายๆอย่าง
            “ในการฝึกคาราเต้ เซนเซซึ่งเป็นอาจารย์ชาวญี่ปุ่นจะสอนในรูปแบบตายตัว ยึดพื้นฐานตายตัวเกินไป ซึ่งเป็นวิธีการสอนที่ดีวิธีหนึ่ง โดยการฝึกหากทำไม่ได้ หรือไม่เข้าใจก็จะต้องทำไปเรื่อยๆ ทำไปให้เยอะๆ จนกว่าจะเข้าใจไปเอง ซึ่งตรงจุดนี้เป็นวิธีการฝึกมาแต่โบราณ เพราะคาราเต้ต้องฝึกหนักจนร่างกายจดจำผ่านกล้ามเนื้อ ไม่ใช่จดจำโดยการใช้สมอง แต่ผมคิดว่าการสอนวิธีนี้ไม่สามารถสอนให้คนหลายคนสามารถเข้าใจได้เหมือนกันหมด เพราะแต่ละคนมีทักษะ มีความเข้าใจไม่เหมือนกัน  การสอนสำหรับผมจะต้องปรับเปลี่ยนวิธีการให้เข้ากับแต่ละบุคคล ต้องดูว่าผู้ที่ฝึกแต่ละคนขาดอะไร  ต้องเสริมอะไร เน้นอะไร มีความเข้าใจด้านไหน เราจึงค่อยเสริมไปทีละนิดๆ ซึ่งการสอนจะไม่ตายตัวสามารถปรับเปลี่ยนได้ตลอดเวลาแต่เราก็ยังคงมาตรฐานเดิมอยู่เพื่ออนุรักษ์แนวทางการฝึก และระบบโดโจ(ระบบโรงฝึกของญี่ปุ่น)” พี่ตี๋กล่าวถึงวิธีการสอนในรูปแบบของตนเอง   
            เมื่อพูดถึงการฝึกคาราเต้ ในปัจจุบันผู้ที่เข้าใจศาสตร์คาราเต้อย่างแท้จริงนั้นยังหาได้น้อย โดยเฉพาะในประเทศไทย ทั้งที่คาราเต้ในประเทศไทยกำลังพัฒนา แต่กลับพัฒนาเฉพาะด้านการกีฬาเท่านั้น แต่ความรู้ความเข้าใจของวิถีทางแห่งคาราเต้นั้นกลับถดถอยลง ดังนั้นพี่ตี๋จึงได้ให้แนวทางการฝึกฝนคาราเต้กับเด็กรุ่นใหม่ด้วยว่า “การจะฝึกคาราเต้ให้ได้สำเร็จนั้นสิ่งแรกที่จะต้องมีคือความถ่อมตน หากมีความถ่อมตนแล้วใจย่อมเปิดรับสิ่งใหม่ๆเข้ามา เมื่อมีความถ่อมตนแล้วใครเห็นใครก็อยากที่จะถ่ายทอดความรู้ให้กับเรา สิ่งที่สองต้องมีมานะอดทน ทนฝึกท่าเดิมๆเป็นร้อยเป็นพันรอบจนกว่าจะเข้าใจ สามต้องรู้จักตัวเอง เมื่อทำท่าใดท่าหนึ่งต้องรู้ว่าร่างกายเราเคลื่อนไหวอย่างไร การเคลื่อนไหวแต่ละครั้งจะไม่เหมือนกัน เราต้องหาความแตกต่างนี้ให้เจอ เมื่อเจอแล้วก็จะรู้ว่าตัวเองกำลังขาดเกินส่วนไหนอยู่ สี่อย่าคิดที่จะเอาชนะคู่ต่อสู้ คิดว่าไม่จำเป็นต้องแพ้ก็เพียงพอแล้ว เพราะการเอาชนะคู่ต่อสู้นั้นทำให้เกิดความเกร็ง ความตึงเครียด อีกทั้งยังทำให้เกิดความประมาทอีกด้วย เพียงคิดแต่จะทำตัวเองให้พัฒนาตนเองขึ้นไปเรื่อยๆก็พอแล้ว หากเอาชนะตนเองได้ ก็จักชนะผู้อื่นได้เช่นกัน”
            “น้องๆรู้ไหมว่าจริงๆแล้วพี่เป็นคนที่เกลียดการเอาชนะที่สุด เป็นคนที่ไม่ชอบการแข่งขันเอามากๆ ทำไมเราต้องไปแก่งแย่งชิงดีชิงเด่นกับคนอื่นด้วย เราเพียงแค่ทำตัวเองให้ดีต่อไปเรื่อยๆ และดีขึ้นเรื่อยๆก็พอ” พี่ตี๋พูดถึงตอนนี้ด้วยสีหน้าจริงจัง เพราะนี่คือจุดเริ่มต้นความคิดในการผันตัวเองให้กลายเป็นผู้ฝึกสอน และกรรมการตัดสินกีฬาคาราเต้ “เพราะความเกลียดการแข่งขันของผมหล่ะมั๊งที่ทำให้ผมเลือกที่จะฝึกเพื่อพัฒนาตนเองมากกว่าที่จะเลือกตำแหน่งแชมป์ และความเกลียดที่ยิ่งใหญ่ที่สุดคือผมเกลียดการต่อสู้โดยใช้ความรุนแรงโดยไร้เหตุผล และต่อให้มีเหตุผลก็ตาม แต่หากเกินความจำเป็นเพียงนิดเดียวผมก็ไม่สนับสนุน นี่คงจะเป็นสิ่งที่ผลักดันทำให้ผมฝึกคาราเต้เพื่อป้องกันตัวเองมากกว่าที่จะไปต่อสู้กับคนอื่น ซึ่งมันก็ตรงกับคำสอนของปรมาจารย์รุ่นก่อนๆว่า คาราเต้จะไม่ลงมือก่อน แต่รู้ไหมว่ายิ่งฝึกตามแนวทางที่ปรมาจารย์กล่าวไว้ มันยิ่งทำให้เราเข้าใจคาราเต้มากขึ้น ผมเลยเลือกที่จะเผยแพร่คำสอนของอาจารย์รุ่นก่อนๆไว้ให้คนรุ่นหลังได้เข้าใจ เพราะนักคาราเต้รุ่นใหม่ๆละเลยที่จะฝึกตามแนวทางที่มีมาแต่โบราณ สนใจคาราเต้เพียงแค่คาราเต้เป็นกีฬาที่นำมาซึ่งความเท่ห์ ชื่อเสียง และเงินทอง ทั้งที่คาราเต้มันมีอะไรมากกว่านั้น ผมก็อยากจะสอนไอ้สิ่งที่เด็กสมัยนี้ไม่รู้จักกันนี่แหล่ะ ส่วนการเป็นกรรมการตัดสินนั้นก็เป็นอีกบทบาทหน้าที่หนึ่งที่จะสามารถช่วยผลักดันนักกีฬาให้พัฒนาตนเองขึ้นได้ เพราะหากกรรมการดี นักกีฬาก็จะได้เรียนรู้ข้อผิดพลาดของตนเองและนำกลับไปพัฒนาได้” พี่ตี๋เล่าถึงตรงนี้ก็พูดยิ้มๆออกมาอีกว่า “ถ้าโค๊ชของนักกีฬามองออกหมดว่านักกีฬาของตนเองผิดพลาดอะไรควรจะต้องแก้ไขตรงไหนบ้าง ป่านนี้นักกีฬาทุกคนก็เก่งกาจกันหมดแล้ว ไม่ต้องตัดสินกันหรอกว่าใครแพ้ใครชนะ แต่เป็นเพราะกรรมการมองเห็นในสิ่งที่โค๊ชมองไม่เห็นต่างหาก จึงสามารถที่จะพัฒนานักกีฬาได้ คงไม่มีใครมองแคบๆว่ากรรมการตัดสินให้นักกีฬาแพ้เพราะกรรมการห่วยหรอก ฮ่าๆ” พี่ตี๋กล่าวไปหัวเราะไป
            เมื่อพูดถึงความสำเร็จในด้านคาราเต้ของพี่ตี๋ อาจจะพูดได้ว่าเป็นอันดับต้นๆของประเทศเลยก็ว่าได้ เพราะนอกจากจะเป็นแชมป์ประเภทคาตะ(ท่ารำ)มาหลายสมัย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการแข่งขันกีฬามหาวิทยาลัย ครั้งที่38 จามจุรีเกมส์ ปี2554 พี่ตี๋ยังสามารถคว้าเหรียญทองในประเภทท่ารำ และเหรียญเงินในประเภทต่อสู้อีกด้วย อีกทั้งยังได้รับเชิญจากกองพันทหารราบที่สิบเอ็ดรักษาพระองค์ ให้เข้าไปสอนศิลปะการต่อสู้ให้กับกองทหารราชองครักษ์ ซึ่งนับได้ว่าเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้รับใช้พระองค์ท่านโดยการสอนทหารส่วนพระองค์ และนอกจากนี้ยังได้รับการคัดเลือกให้ไปเข้าร่วมโครงการฝึกคาราเต้และแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมระหว่างจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยกับมหาวิทยาลัยฮิโตสึบาชิประเทศญี่ปุ่น โดยเป็นหนึ่งในผู้ฝึกสอนคาราเต้ในค่ายนี้ ซึ่งต้องสอนคาราเต้ให้ทั้งคนไทยและคนญี่ปุ่น
            นอกจากคาราเต้แล้ว ในบางครั้งยังเห็นพี่ตี๋กำลังฝึกมวยไทเก็กอีกด้วย จึงเป็นอีกประเด็นหนึ่งที่ทางทีมงานสงสัยกันเหลือเกินว่ามวยไทเก็กคืออะไร และทำไมถึงฝึกมวยไทเก็ก “ผมเป็นคนที่ค่อนข้างจะหลงใหลในศิลปะการต่อสู้อย่างมาก และวิชามวยอีกชนิดหนึ่งที่ผมให้ความสนใจไม่แพ้คาราเต้คือ มวยจีนไทเก๊ก ไทเก็กเป็นมวยที่เคลื่อนไหวช้าๆเพื่อศึกษาความเปลี่ยนแปลงของร่างกาย เรียนรู้การทำงานของร่างกาย เมื่อสามารถควบคุมกล้ามเนื้อทุกส่วนของร่างกายก็จะสามารถใช้ร่างกายได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ อีกทั้งไทเก็กยังเป็นการบำบัดร่างกาย ฟื้นฟูสภาพร่างกายได้อย่างดีเยี่ยม ที่ผมชอบฝึกไทเก็กก็เพราะเหตุผลนี้ และที่สำคัญที่สุดคือทัศนคติเรื่องการใช้แรงน้อยชนะแรงมาก อ่อนสยบแข็งของไทเก็กนั้น ก็เป็นขั้นสูงสุดของคาราเต้เช่นกัน ดังนั้นผมจึงเลือกที่จะศึกษาสองศาสตร์นี้ไปควบคู่กัน ซึ่งทั้งสองศาสตร์นี้เป็นศาสตร์ที่เรียนรู้ไม่มีวันจบ”
CR: กลุ่มรุ่นน้องนักศึกษาเอกไทย มหาวิทยาลัยกรุงเทพ บทความปี 2012

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น