วันจันทร์ที่ 20 มิถุนายน พ.ศ. 2559

ลัทธินอกศาสนาที่ต้องระวังใน ศาสนาพุทธมหายาน

ลัทธินอกศาสนา ลัทธิแอบแฝงพระพุทธศาสนา 
ผมไม่ได้ต้องการที่จะขัดแย้งอะไรกับใคร แต่ที่ผมต้องการจะสื่อคือ ควรใช้ปัญญาในการคิดพินิจพิจารณาสิ่งต่างๆ ส่วนการเลือกที่จะศรัทธานับถือในศาสนา ลัทธิใดๆ ผมไม่ขอยุ่ง เพราะเป็นสิทธิส่วนบุคคล แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น สิ่งที่ผมจะพูดแน่นอนว่ามันอาจจะไม่ถูกใจใครหลายคนที่นับถือในลัทธินั้นๆ เพราะมันอาจจะเป็นการโจมตีโดยตรง และทางนั้นก็อาจจะหาเหตุผลข้างๆคูๆมาแย้งว่าผมไม่รู้จริง หรือเป็นพวกทำลายความสงบสุขในวงการศาสนา
ผมเป็น “พุทธศาสนิกชน” เป็น “พุทธบริษัท” ซึ่งต่างจากคนในปัจจุบันที่อ้างกันว่า นับถือศาสนาพุทธ แต่แทบจะไม่รู้อะไรเลยเกี่ยวกับพุทธ ผมย่อมต้องปกป้องศาสนาที่ผมเคารพนับถือและศรัทธา ดังนั้นถ้าดูจากเหตุผลที่อ้างมานี้ มันย่อมแสดงว่าผมไม่ได้เป็นคนเริ่มขัดแย้งก่อน แต่ผมออกมาสร้างความเข้าใจในการนับถือศาสนา โดยให้ข้อเท็จจริงที่ควรทราบเท่านั้น
การจะอ้างว่าเป็น “พุทธ” แต่ไม่ปกป้องพุทธ และอ้างว่าพระพุทธเจ้าสอนให้ปล่อยวาง ปล่อยให้เป็นไปตามกรรม และไม่ยุ่งเรื่องคนอื่น สนใจแต่ตัวเอง อันนี้ผมขอกล่าวว่าเป็นการปัดความรับผิดชอบ และปัดจิตสำนักของความเป็นศาสนิกชนไป มันเป็นเพียงแค่ความไม่อยากไปยุ่งเรื่องคนอื่น ไม่อยากหาเรื่องเดือดร้อนเข้าตัว เท่านั้น คือทำตามแต่ที่ตนสบายใจ
บางคนอาจจะมองว่าผมเป็นพวกหัวโบราณ เป็น “ติ่งพุทธ” ศาสนาเป็นเรื่องงมงาย หลอกลวง หรือจะอะไรก็แล้วแต่ มันก็เป็นสิทธิของคุณในการมองตัวผม ผมก็มีสิทธิของผมที่จะนับถือและเชื่อในสิ่งเหล่านี้
บางคนไม่ซีเรียสเรื่องการนับถือศาสนา อ้างว่า ทุกศาสนาก็สอนให้เป็นคนดีหมด ดังนั้นก็ขอให้เป็นคนดีก็พอ จะนับถืออะไรก็ไม่สำคัญ ดังนั้นคนเหล่านี้จะนับถือ จะไหว้ได้หมด เคารพได้หมด สิ่งเหล่านี้ผมถือว่าดีครับ แต่ก็ควรที่จะมีกรอบของตัวเองบ้าง มีเหตุผลในการนับถือบ้าง มีแก่นสำคัญในการศรัทธาบ้าง และไม่ใช่เพียงแค่ นับถือตามเขา เชื่อตามเขาพูด ศรัทธาตามฝูงชน หรือจะอะไรก็แล้วแต่ซึ่งมันไม่ได้แสดงถึงปัญญา ต้องมีจุดยืนให้แน่ชัด มีสรณะที่มั่นคงสูงสุด ส่วนจะแน่ชัดแล้วมีการผ่อนปรน มีการเปิดใจกว้างต่อศาสนาอื่นก็เป็นอีกเรื่อง  ไม่อย่างนั้นแล้วมันก็ไม่สมควรที่จะเรียกว่าตัวเองเป็น “ศาสนิกชน” ของศาสนานั้นๆ ควรจะเรียกตัวเองว่า “ไม่มีศาสนา” จะดีกว่า เพราะไม่ได้นับถืออะไรจริงจัง
ไอ้การนับถือจริงจังเนี่ย จริงจังหรือไม่จริงจังเป็นเรื่องส่วนบุคคล มันอาจจะใช้ได้ หรือใช้ไม่ได้ในชีวิตประจำวันของคนบางคน ซึ่งมันก็แล้วแต่จริตความชอบความเห็นส่วนบุคคล ผมไม่อยากสร้างประเด็นขัดแย้งอะไรมากนัก เพราะมันก็ไม่ใช่เรื่องเสียหายอะไร แต่ที่มันจะเสียหายคือ พวกที่ชอบอ้างว่า “พุทธแท้” “เป็นพุทธ” โดยที่ตัวเองทำตัวไม่ซีเรียสเรื่องศาสนา เป็นคนไม่เข้าใจหลักศาสนาใดๆเลย ขอเอาแค่ความเห็นตัวว่าสบายใจก็พอ แล้วก็ไปขัดแย้งกับคนอื่น หาว่าคนที่รณรงค์เรื่องศาสนาดั้งเดิมแบบพวกผมเป็นพวกหัวโบราณไม่ทำตามคำสอนพระพุทธเจ้า คนเหล่านี้อาจจะไม่รู้ตัวว่ากำลังทำให้ศาสนาพุทธนั้นสูญหายไปจากประเทศไทยโดยไม่รู้ตัว เหมือนที่เคยเกิดเหตุการณ์แบบนี้ในหลายๆประเทศที่มีประวัติศาสตร์ว่าเป็นดินแดนแห่งพุทธ
----------------------
ส่วนสิ่งที่ผมทำนั้น ผมไม่ได้อะไรมากมาย ผมแค่ออกมาชี้แจงข้อเท็จจริงในฝ่ายของศาสนาดั้งเดิม กับข้อเท็จจริงทางวิชาการต่างๆ ส่วนใครจะเชื่อไม่เชื่อ จะนำไปวิเคราะห์ต่อ หรือจะด่าผม อันนี้ก็แล้วแต่บุคคล ผมไม่ได้สนใจอะไร ผมถือว่าผมทำตามหน้าที่ ใครเข้าใจดีก็ดีไป ใครเข้าใจไม่ดี ผมก็ถือว่าปล่อยวาง อุเบกขาไป ไม่ได้ยึดมาเป็นอารมณ์อะไรอยู่แล้ว เพราะมันเป็นวาสนาของพวกคุณ เป็นกรรมของพวกคุณที่ผูกพันสร้างกันมาให้ตามกันมาเป็นศิษย์อาจารย์ เป็นผู้นำลัทธิกับสาวกลัทธิ ต่อให้พระพุทธเจ้าทรงมาชี้แนะเอง หากไม่เคยสร้างบารมีมากับพระพุทธเจ้า ก็คงไม่เข้าใจสิ่งที่พระพุทธเจ้าทรงสอน เปรียบได้เหมือนเหล่าศิษย์เทวทัต ทั้งที่เป็นพุทธสาวกในพุทธกาลแท้ๆ ยังกลับไปเชื่อถือคำของพระเทวทัต คนเหล่านี้ต้องใช้กรรม ต้องถึงเวลาอันเหมาะสมที่กรรมดีจะส่งผล มันถึงจะมีวาสนาได้ค้นพบความจริง ซึ่งใครก็แทรกแซงหน้าที่และเวลาของกรรมไม่ได้ จะมีแต่กรรมด้วยกันเท่านั้นที่จะเปลี่ยนแปลงกรรมได้
----------------------
ทีนี้มาเข้าประเด็นสักทีนะครับ............ศาสนาพุทธ หากพูดเรื่องความดั้งเดิม และหลักธรรมคำสอน จารีต โดยเทียบจากประวัติศาสตร์ที่ถูกบันทึกกันต่อๆมา สืบทอดกันต่อๆมารุ่นสู่รุ่น นั่นคือ “พุทธเถรวาท” ในประเทศไทย ที่เป็นสาย “ลังกาวงศ์” ลังกาวงศ์นั้นสืบทอดกันมาตั้งแต่สมัยพุทธกาล ผ่านการสังคายนามาเรื่อยๆจนมี “พระไตรปิฎก” มีการเรียนบาลี เพื่อสืบทอดภาษาดั้งเดิมของ “พุทธวจนะ” ซึ่งเป็นภาษาพูดของชาวมคธ ซึ่งพระพุทธเจ้าทรงใช้ในการสอน ดังนั้นความผิดเพี้ยนในการบันทึก ในการสอน ย่อมมีความผิดพลาดน้อยถึงน้อยมากในพระไตรปิฎกฉบับบาลี ส่วนการตีความแปลบาลีให้เป็นภาษาต่างๆนั้นก็ขึ้นกับความรู้ความเข้าใจในบาลี จนทำให้เกิดความแตกต่างกันของการปฏิบัติจนกลายเป็น เถรวาทแบบ มหานิกาย และธรรมยุต ในประเทศไทย ซึ่งทั้งสองสายนี้ก็แตกต่างกันเพียงเล็กน้อยเท่านั้น
ขอให้เข้าใจไว้ก่อนว่า “เถรวาท” นั้นยึดตามจารีตประเพณี คำสอน วินัยต่างๆแบบดั้งเดิมโดยแทบจะไม่เปลี่ยนแปลงข้อวัตรปฏิบัติใดๆเลย ถึงจะมีอนุโลมเป็นบ้างข้อในปัจจุบัน แต่ก็ไม่ได้เปลี่ยนแปลงคำสอน หรือข้อวินัยในพระไตรปิฎก เพราะยังคงรักษาไว้ให้ชนรุ่นหลังให้เห็นสืบทอดกันต่อไป หากเปลี่ยนในพระไตรปิฎก เปลี่ยนในข้อวัตร มันก็จะเปลี่ยนไปเรื่อยๆจนไม่เหลือเค้าโครงเดิมให้ชนรุ่นหลังศึกษา
ในประเด็นเรื่อง “มหายาน” หรือนิกายต่างๆที่แยกมาจากมหายานนั้นเนื่องจาก พระพุทธเจ้าทรงรับสั่งว่า ข้อวินัยเล็กๆน้อยๆนั้นสามารถปรับเปลี่ยนได้ให้ทัน และเหมาะสมกับกาลสมัย ดังนั้นนี่จึงเป็นหนึ่งในที่มาของการแยกตัวออกมาเป็น มหายาน ในอีกประเด็นหนึ่งคือ การไม่ยอมรับการสังคายนา จึงได้แยกตัวออกไปทำการสังคายนาด้วยตนเอง จนกลายเป็นกลุ่มนิกายย่อยๆลงไป ซึ่งในอดีตมีเกือบถึง 20นิกายของพุทธศาสนา
กล่าวง่ายๆก็คือ คำสอน ประวัติของมหายานนั้น เรียกได้ว่าถูกเพิ่มเติม แต่งเพิ่มเข้าไปในภายหลังนั่นเอง ซึ่งก็ถูกเพิ่มเติมจนแตกต่างไปจาก พุทธดั้งเดิมหรือเถรวาทไปบ้าง แต่หลักการส่วนใหญ่ เหตุการณ์สำคัญนั้นๆก็ไม่แตกต่างกันมากนัก และทุกนิกายก็ยอมรับอยู่ในใจกันหมดว่า ดั้งเดิมสุด สืบทอดมาจากพระโคตรมะศากยมุนีพุทธเจ้าโดยตรงนั้นคือ “เถรวาท” หรือที่เรียกกันว่า “หินยาน” แม้แต่ท่าน “ทาไลลามะ” องค์ปัจจุบัน ซึ่งเป็นสังฆราชปกครองสงฆ์ในสายวัชรยานในทิเบต ท่านก็ยังยอมรับข้อเท็จจริงข้อนี้ พระสงฆ์มหายานในโลกก็ยอมรับข้อเท็จจริงข้อนี้
เพียงแต่ฝ่ายมหายานต่างๆนี้ ท่านมีความเห็นแตกต่างกันตรงเรื่อง สิ่งที่พระพุทธเจ้าท่านทรงสอนในเถรวาทนั้น เป็นธรรมที่เหมาะแก่การหลุดพ้นจากทุกข์ มุ่งสู่พระนิพพานโดยตรง รวดเร็ว แต่นั่นไม่ใช่แนวทางของมหายาน มหายานต้องการที่จะมุ่งตรงต่อ “พุทธภูมิ” เป็นพระพุทธเจ้าองค์ต่อไป ไม่ใช่ต้องการเพียงแค่ไปนิพพานในฐานะสาวกของพระพุทธเจ้า เนื่องจากพระพุทธเจ้านั้นสามารถสอนไวไนยสัตว์ได้ครั้งละจำนวนมากกว่าผู้ที่เป็นสาวกของพระพุทธเจ้า จึงเรียกแนวทางของตนว่าเป็น มหายาน ยานที่นับสัตว์ไปได้มากกว่าใหญ่กว่า ในส่วนของคำสอนมหายานนั้น มีความเชื่อกันว่า สิ่งที่พระพุทธเจ้าทรงสอนให้เถรวาทนั้น เป็นใบไม้ในกำมือที่พระพุทธเจ้าทรงกำไว้ แต่สิ่งที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสรู้นั้นเปรียบได้กับใบไม้ในป่าใหญ่ มหายานจึงสอนสิ่งเหล่านั้นซึ่งไม่มีในเถรวาท
ส่วนประเด็นว่า อ้าว...คณาจารย์ฝ่ายมหายานท่านรู้ได้อย่างไรว่านี่คือสิ่งที่พระพุทธเจ้าท่านทรงสอนจริง คณาจารย์ในอดีตท่านนั่งเทียนแต่งคำสอนใหม่กันเองรึเปล่า เรื่องนี้มันก็สามารถมองได้สองประเด็นครับ ขึ้นกับว่าใครจะเชื่ออันไหน ซึ่งขึ้นกับปัญญาพิจารณาของแต่ละบุคคล
1.       มันก็เกิดจากการมโนของคณาจารย์มหายานจริงๆนั่นแหล่ะ จบ....
2.       มันอาจจะเกิดจากปฏิบัติของคณะจารย์จนท่านได้ ฌานสมาบัติ ได้ญาณอันเป็นวิมุติ และสามารถสัมผัสได้ถึงคำสอนของพระพุทธเจ้าพระองค์ต่างๆได้จริง ตามที่มีการบันทึกไว้ในพระสูตร และประวัติของทางมหายาน ซึ่งเรื่องเหล่านี้ มันเป็นเรื่องของการปฏิบัติธรรม ต้องเป็นผู้ที่ปฏิบัติธรรมด้วยกันเท่านั้นถึงจะสามารถเห็นตรงกันได้ เพราะพระธรรมนั้นเป็น “ปัจจัตตัง เวทิตัพโพ วิญญูหีติ” คือรู้ได้เฉพาะตน (ในส่วนตัวผม ผมเชื่อแบบนี้ )
ในส่วนตัวของผมที่เป็นผู้เขียน ผมเลือกที่จะเชื่อและศรัทธาในแนวคิดประเด็นที่สอง เพราะสิ่งที่มหายานสอนไม่ใช่เรื่องเหลวไหล แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ต้องเลือกที่จะศึกษา และพิจารณาถึงแก่นของหลักธรรม และประวัติที่น่าเชื่อถือด้วย ผมเองนั้นในทางพุทธประวัติ ผมจะเชื่อในทางเถรวาท ส่วนพระธรรมของมหายาน ผมเลือกที่จะศึกษา และเท่าที่ศึกษามาก็เป็นเพียงการตีความ การแปล และการอธิบายที่แปลกใหม่ มีการใช้คำนิยาม การเรียกขาน และกุศโลบายในการสอนที่แตกต่างกันเท่านั้น เรื่องของพระญาณของพระพุทธเจ้า หรือพระโพธิสัตว์ต่างๆ ที่ปราฏกเป็นตรีกายแบบมหายานนั้น ก็ขอให้ทุกท่านที่ได้อ่านบทความผม นั่งสมาธิปฏิบัติภาวนากันไปเองเสียดีกว่าที่จะมาหาอ่านจากข้อมูลเชิงวิการ เพราะสิ่งเหล่านี้เป็น ปัจจัตตัง ได้จากการปฏิบัติ ไม่ใช่ได้จากการอ่าน หรือการเชื่อแบบงมงาย (ในเรื่องนี้ผมไม่ปฏิเสธนะ) แต่ผมก็จะมีจุดยืนของตัวผม หากผมเป็นอุบาสกอุบาสิกา ผมก็จะสามารถกราบไหว้บูชาพระอริยะต่างๆได้อย่างไม่ติดขัด แต่หากผมเป็นพระภิกษุสงฆ์ในทางเถรวาท ผมก็ไม่สามารถที่จะกราบไหว้บูชาพระโพธิสัตว์ได้ เนื่องจากพระโพธิสัตว์ไม่ใช่หนึ่งในสามสรณะสูงสุดของพุทธบริษัท(เถรวาท) เนื่องจากพระสงฆ์เป็นสรณะที่สูง1ใน3 ยกเว้นแต่พระโพธิสัตว์นั้นๆของมหายานจะเป็นในรูปแบบของพระภิกษุสงฆ์
สรุปในประเด็นมหายานนะครับ ถึงจะมีประวัติ และคำสอนที่แตกต่างกันไปตามนิกาย ซึ่งไม่เหมือนกับเถรวาท แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น มันก็ไม่ได้แตกต่างอะไรกันมาก และทุกนิกายยอมรับเหมือนกันหมดว่า คำสอนหลักธรรมของนิกายตนนั้นมีเพิ่มเติมมา และดั้งเดิมสุดคือ เถรวาท ดังนั้นทุกนิกาย จึงชื่อได้ว่าเป็น “พุทธศาสนา”  สิ่งที่ควรสังเกต ถึงแม้ว่าพระพุทธศาสนาจะปรากฏเรื่องของ ภพภูมิต่างๆมากมาย เทพ มหาเทพ พระโพธิสัตว์ต่างๆมากมาย แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น คำสอนของพระพุทธศาสนา จะยึดแต่คำสอนของ พระพุทธเจ้า พระสงฆ์ พระโพธิสัตว์ อุบาสก หรืออุบาสิกา เท่านั้น จะไม่มีคำสอนที่มาจาก บัญชาเทพบนสวรรค์ นักพรต ฤาษี เซียนเต๋า หรือพฤติกรรมแบบร่างทรง เช่น มีพระบัญชา พระธรรมจากพระอรหันต์จี้กงบ้าง เง็กเซียนฮ่องเต้บ้าง พระโพธิสัตว์บ้าง
ในเรื่องของ ลัทธิอนุตรธรรม ซึ่งเป็นศาสนาอันดับสามของประเทศไต้หวัน ที่เป็นศาสนาของกบฏในสมัยราชวงค์ของจีน สืบทอดกันมาหลายร้อยปี และผ่านการพัฒนารูปแบบไปเรื่อย โดยแอบแฝงการเคลื่อนไหวอยู่ในรูปแบบของ ศาสนาหยู(ขงจื้อ) ศาสนาเต๋า และศาสนาพุทธในประเทศจีน ซึ่งได้ก่อตั้งขึ้นเพื่อจุดประสงค์ในการระดมพลทางการเมือง โดยใช้ศรัทธาความเชื่อ ความงมงายของประชาชนที่เข้าไม่ถึงศาสนาดั้งเดิมให้เกิดความศรัทธา ด้วยการยำรวมมิตรประวัติศาสดาต่างๆ คณาจารย์ต่างๆ เทพต่างๆ มาเหมารวมเอาไว้เป็นสิ่งศักดิสิทธิ์ของลัทธิ เพื่อซื้อใจ สร้างโปรโมชั่นให้กับประชาชน และยิ่งมีการสร้างรหัสลับ การเปิดจุดทวารที่หน้าผาก เพื่อเป็นการรับธรรม เพื่อง่ายต่อการเข้าถึงสวรรค์และสิ่งศักดิสิทธิ์ มันยิ่งเป็นการเพิ่มความงมงาย ความเชื่อความศรัทธาให้กับผู้ที่ขาดปัญญาอยู่แล้ว จึงเป็นการง่ายที่จะโน้มน้าวฝูงชน จนกลายเป็นมหาชนที่ผลกระทบต่อการบริหารบ้านเมืองได้
ในสมัยตอนคอมมิวนิสต์ กวาดล้างวัฒนธรรม ลัทธินี้ย่อมโดนกวาดไปด้วย แต่ก็ได้ทำการหนีมาอยู่ไต้หวันเหมือนคนส่วนใหญ่ ซึ่งผู้ที่มาไต้หวันนี้โดยมากมักเป็นผู้ที่มีอิทธิพลทางการเมือง หรือบุคคลสำคัญทางสังคม แน่นอนว่าลัทธินี้เป็นลัทธิที่แอบแฝงทางการเมืองมาโดยตลอดของจีน มีบุคคลสำคัญแฝงในทุกวงการ การจะไปอยู่ไต้หวันและเป็นใหญ่จึงมีมากไปด้วย และกลายเป็นศาสนาอันดับสามของไต้หวันในปัจจุบัน
ทำไมถึงเรียกว่าเป็นศาสนาที่สาม เพราะไต้หวันก็มีผู้นับถือ ศาสนาพุทธ และศาสนาเต๋าตามศาสนาดั้งเดิมของจีนอยู่แล้ว และด้วยการปกป้องประวัติคำสอนของศาสนาดั้งเดิม จึงทำให้ลัทธิอนุตรธรรมนั้น ถูกแยกออกมาชัดเจนจากศาสนาพุทธ และเต๋า แต่ทั้งนี้เนื่องจากการเผยแพร่ธรรมในต่างแดน การใช้ชื่อของ พุทธ และเต๋าในการสอน ก็ยังคงง่ายต่อการเข้าถึงของผู้ที่ไม่มีความเข้าใจในหลักธรรมของศาสนาดั้งเดิม อย่างเช่นในอดีตจนถึงปัจจุบัน ที่ลัทธินี้ก็ยังได้ชื่อว่าเป็น พุทธศาสนามหายาน ในเมืองไทย หรือเป็นศาสนาเต๋าของคนต่างชาติ
-----------------------------------------------------------------
สิ่งที่ยอมรับไม่ได้สำหรับผมก็คือ การไม่ยอมรับประวัติตามพุทธศาสนา กับตามหลักฐานทางประวัติศาสตร์ที่สามารถตรวจสอบได้ เหมือนที่ทุกนิกายของมหายานยอมรับ แต่นี่ลัทธินี้เล่นเอาประวัติไปผสมผสาน ยำรวมมิตร แต่งคำเท็จมิจฉาทิฏิฐิมากมายผสมลงไปในการสอนธรรม เป็นประวัติและคำสอนที่ไม่สามารถสืบค้นได้จากหลักฐานทางประวัติศาสตร์
พอใครมาพูดเรื่องหลักธรรม หรือประวัติในเชิงความเป็นจริงของศาสนาดั้งเดิม เพื่อเปรียบเทียบกับลัทธิใหม่ๆ ก็จะถูกตอบกลับมาแบบแถๆ ข้งๆคูๆว่า ไม่รู้จริง เป็นผู้ด้อยปัญญา ไม่เข้าถึงธรรม เป็นผู้มีบุญน้อย ผู้มีใจโลเล เป็นคนบาปหนัก บลาๆๆๆ.... หรือเป็นผู้สร้างความแตกแยกในวงการศาสนา ทั้งๆที่ไม่ได้ดูเลยว่า ลัทธิคุณเองแท้ๆที่สร้างประวัติบิดเบือน คำสอนบิดเบือนหรือแอบอ้างศาสนาอื่นๆเขาก่อน ทำให้เกิดความเสียหายต่อศาสนาดั้งเดิมเขา
เขาทางประมาณว่า แถเอาแต่ใจหลงตัวเองแบบตั๋งโต๊ะ เปลี่ยนไปเปลี่ยนมาแบบลิโป้ ตัวเองทรยศคนอื่นได้แต่คนอื่นห้ามทรยศข้าแบบโจโฉ คือตัวเองถูกแต่คนอื่นผิด
------------------------------------------------------------------
สรุปเกี่ยวกับ อนุตรธรรม ใครจะว่าเป็นพุทธ หรือเป็นเต๋า ก็แล้วแต่พวกคุณจะไม่ซีเรียสตามสไตล์คนไม่เจาะจงศาสนา หรือแค่ศาสนาทะเบียนบ้าน แต่สำหรับศาสนิกชนของ พุทธ หรือเต๋า หรือคริสต์อิสลามนั้น เขาได้ออกมาปฏิเสธกันตั้งแต่อดีตแล้วว่า ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับลัทธินี้ คำสอนของลัทธนี้ปลอมแปลงประวัติและคำสอนของศาสนาดั้งเดิม ไม่ว่าจะเป็น พุทธ เต๋า คริสต์ อิสลาม และศิษย์ของลัทธินี้ ย่อมไม่ใช่ศาสนิกชนของศาสนาดั้งเดิมด้วย
ทุกศาสนาล้วนสอนให้เป็นคนดีหมด และจะไม่ก้าวก่ายซึ่งกันและกัน หากคุณจะเป็นสีผสม ไม่ขาว ไม่ดำ เป็นสีเทา ก็อย่าบอกว่าคุณเป็นขาว เป็นดำ แต่คุณต้องบอกว่าคุณเป็นเทา สีย่อมเป็นสี สีย่อมมีคุณประโยชน์ของสีต่างกัน แต่อย่ามาเทียบ และอย่ามาอ้างเป็นสีนั้นสีนี้โดยไม่ยอมรับความจริงในสีของคุณ  
สิ่งที่ผมจะสื่อ ผมไม่ได้ต้องการให้เลิกนับถือศาสนาใด ศาสนาหนึ่ง หรือลัทธิใดลัทธิหนึ่ง แต่ผมแค่ออกมาชี้แจง ให้รู้ว่าอะไรคือ ศาสนาพุทธ อะไรคือสีที่ถูกปนเปื้อน ใครจะนับถืออะไรก็ขอให้ยึดแบบนั้นอย่างมีปัญญา และมีจุดยืน หากคุณจะเป็นอนุตรธรรม ก็ขอให้เป็นอนุตรธรรม บอกไปเลยตรงๆว่า ไม่ใช่พุทธเต๋าคริสต์อิสลาม หรือศาสนาเดิมอื่นๆ ต้องบอกว่าคุณเป็นศาสนาหรือลัทธิอนุตรธรรม ลัทธินี้สอนแบบไหนก็ว่าไป มีความเชื่อไม่เหมือนแบบดั้งเดิม มีประวัติไม่เหมือนดั้งเดิม ไม่ใช่ไปสอนเขาแบบแอบแฝง
ย้ำนะครับ ผมไม่ได้ทำลายลัทธิใดของใครแบบเจาะจง ผมออกมาปกป้องศาสนาพุทธที่เป็นสรณะของผม และศาสนาเต๋าที่ผมเคยเคารพตามจารีตประเพณีจีน ผมออกมาชี้แจงหมดครับไม่ว่าจะเป็น ธรรมกาย พุทธวจน สันติอโศก ลัทธิมูน หรือลัทธิไหนๆที่เป็นลัทธิแอบแฝง และผมก็ไม่ได้พึ่งจะมาตีโพยตีพายเอาตอนไม่กี่วันนี้ ผมทำอย่างนี้มานานหากใครที่ติดตามอ่านบทความผมอยู่ประจำ หรือคุยกับผมประจำจะสามารถรู้ได้ครับ
การจะมาแย้งว่าผมศึกษามาไม่พอ ปฏิบัติมาไม่พอ บำเพ็ญมาไม่พอ เรื่องนี้เป็นปัจจัตตังครับ ผมไม่มีความจำเป็นต้องไปศึกษาหลักธรรมอะไรของลัทธิคุณมากมายถึงขั้นต้องบรรลุในแบบของคุณ ผมแค่ดูประวัติ ดูกิจกรรม ดูคำสอน ดูจรรยา แค่นี้ก็พอตัดสินได้ด้วยปัญญาแล้วครับว่าเป็นอย่างไร
ผมไม่มีอะไรจะพูดมากไปกว่านี้ในประเด็นเหล่านี้ เพราะผมถือว่าพูดจบแล้ว เคลียร์จบแล้ว ใครจะมาแถ มาโจมตีผมก็ขอให้ทราบไว้ด้วยครับว่าผมจะไม่ขอตอบโต้ใดๆ เพราะขี้เกียจ กับป่วยการเปล่าๆ
ผมสอนสหายธรรมผมอยู่เสมอๆ เวลามีผู้มาขอสนทนาธรรมว่า ผมไม่เคยห้ามว่าจะนับถือศาสนาลัทธิไหน แต่หากเป็นพุทธขอให้ศึกษาดูว่า อะไรคือพุทธ อะไรคือคำสอนของพุทธ อะไรคือคำสอนของผู้ที่แต่งแต้มเติมสีเข้าไปใหม่ และอะไรที่สมเหตุสมผล ขนาดพระพุทธเจ้าทรงตรัสว่าอย่าพึ่งเชื่อในสิ่งที่พระองค์ทรงสอน แต่ให้นำมาปฏิบัติพิสูจน์จนเห็นผลประจักษ์ต่อสายตาตนเองว่าสิ่งที่ท่านทรงสอนนั้นเป็นคุณประโยชน์ ถึงจะค่อยเชื่อถือ ไม่ใช่เชื่อถือศรัทธาเพราะฟังๆเขามาแบบไร้ปัญญาพิจารณา ตัวผมเองเป็นพุทธบริษัทที่ห่างจากพระองค์มา2600ปี ผมจะเอาอะไรมาให้คุณเชื่อ เพราะขนาดพระพุทธเจ้าท่านยังไม่ให้เชื่อท่านเลย แล้วผมพูดอะไรไปมันน่าเชื่องั้นหรือ ดังนั้น จึงควรศึกษาเปรียบเทียบ ปฏิบัติ พิจารณาด้วยตนเองดีกว่า ว่าอะไรมันเกิดคุณประโยชน์ที่แท้จริง   
อีกอย่างครับ ถึงผมจะเป็น เถรวาท แต่ผมไม่ได้เป็นพวก “ติ่งพระไตรปิฎก” ที่สุดโต่ง สุดเพี้ยน ตีความเข้าข้างตัวเอง หรือชอบมโนไปว่าตัวเองดำเนินตามคำสอนของพระพุทธเจ้าได้ และโจมตีแนวทางกุศโลบายของครูบาอาจารย์ที่ท่านสอนต่างๆว่าเป็นแนวทาง ไสยศาสตร์
ทุกวันนี้ผมสนทนาธรรม ผมมักจะย้ำเตือนสหายธรรมอยู่เสมอว่า ทุกสิ่งนั้นมีคุณประโยชน์อยู่ที่เรามอง แต่มันต้องไม่ขัดกับหลักความจริง และไม่สร้างความเดือนร้อนเสียหายให้ใคร ครูบาอาจารย์บางท่านทำไมท่านทำน้ำมนต์ วัตถุมงคล ทั้งที่พระพุทธเจ้าไม่ทรงสอน สิ่งเหล่านี้เป็นอุบายนำพาไปสู่การยังศรัทธาที่ยังไม่เกิด ให้เกิดขึ้น เป็นการอุบายธรรมแฝงไว้ในจารีต ประเพณี และวัตถุ เป็นเพียงเปลือกเป็นเพียงกระพี้ของต้นไม้ แน่นอนว่าสำหรับบางคนไม่สามารถเข้าถึงแก่นได้ในทันที นั่นก็ย่อมต้องอาศัยเปลือกไว้ก่อน ให้จดจำเปลือกให้ได้ก่อนว่านี่คือเปลือกต้นอะไร จะศึกษาอะไรควรจะศึกษาให้ครอบคลุม ลงลึกในหลักการและเหตุผล อะไรที่มันอนุโลมได้ ผ่อนปรนผ่อนผันได้ โดยที่เกิดประโยชน์แล้ว ผมไม่เคยปฏิเสธ เพราะโดยนิสัยผม ผมชอบการประยุกต์ การอธิบายโดยพิสดารอยู่แล้ว (ใครฝึกคาราเต้กับผม จะทราบได้ว่าการสอนผมจะไม่เหมือนชาวบ้านเขา ไม่เหมือนตำรา แต่การสอนนั้นก็มุ่งตรงที่แก่นคือพื้นฐานและการส่งแรงด้วยความถูกต้องของกรอบความเป็นมาตรฐาน)  

หวังว่าสาธุชนทุกท่านจะสามารถเข้าใจ “พระพุทธศาสนา” ได้มากขึ้นไม่มากก็น้อยนะครับ สีขาวสีขุ่นได้หมองได้ แต่อย่าไปเป็นสีเทา (ปล. เป็นแค่การเปรียบเทียบนะครับ ไม่ได้หมายความว่าศาสนาอื่นจะเป็นสีดำ ซึ่งมักจะหมายถึงความชั่วร้าย เป็นแค่การเปรียบเทียบศาสนาดั้งเดิมที่สอนๆกันมาเป็นสีขาวบริสุทธิ์ สีดำเป็นสิ่งที่สอนผิดแปลกไปจากดั้งเดิม ความขุ่นความหมองคือหมายถึงการที่อาจจะมีขาดตกบกพร่องในการนับถือนั้นๆบ้าง เช่น ผิดศีล ทำบาปกรรม อกุศลอะไรไปบ้าง แต่ศรัทธาก็ยังคงขาวบริสุทธิ์อยู่ ไม่ใช่สีเทาที่กลายสี กลายพันธุ์ออกไป)

---------------------------------------------------------------------------------
ข้างล่างนี้เป็นกระทู้เก่าที่เคยพิมพ์ไว้ครับ
---------------------------------------------------------------------------------
คนไทย และคนจีน ควรศึกษา
-----------------------------------
ศาสนาพุทธมหายาน ศาสนาเต๋า และลัทธิอนุตรธรรม
----------------------------------
หลายคนที่เป็นคนจีน(ทั้งในจีน และทั้งคนจีนโพ้นทะเล รวมถึงไทย) และคนไทย มักจะไม่ค่อยมีความรู้เกี่ยวกับพระพุทธศาสนา โดยเฉพาะพระพุทธศาสนาแบบมหายาน จะรู้ก็รู้เพียงแต่ว่า เคารพพระโพธิสัตว์กวนอิม พระพุทธเจ้าหลายๆองค์ เทพ พระโพธิสัตว์มากมาย รวมถึงพระอรหันต์ต่างๆ และที่ดังที่สุดก็คือ อรหันต์จี้กง
ขอแค่เพียงว่า ที่ไหนมีเทวรูป พุทธรูปเหล่านี้อยู่ ที่นั่นย่อมถือว่าเป็นวัดจีนไปโดยปริยาย และก็หลับหูหลับตาไหว้ บูชากันอย่างงมงาย
คำสอนก็ไม่ได้ศึกษาเอาเลยว่าอันไหนเป็นอย่างไร ขอแค่อ่านดู ฟังดูแล้วรู้สึกว่าสอนดี เป็นธรรม และอ้างชื่อเทพพระโพธิสัตว์พระอรหันต์พระพุทธเจ้า แค่นี้ก็เชื่อถือกันแล้ว
---------------------------------
อย่างแรกที่จะบอกคือ ศาสนาพุทธไม่ว่าจะด้วยนิกายไหนก็ตาม ไม่มีคำสอนที่มาจากร่างทรง ต่อให้จะทรงพระพุทธ ทรงพระโพธิสัตว์ ทรงพระอรหันต์ เหมือนที่ลัทธิบางลัทธิชอบอ้างว่าพระอรหันต์จี้กงทรงบัญชา ทรงชี้นำคำสอน ทรงรับสั่งบลาๆๆๆ.....
---------------------------------
อย่างที่สอง ให้กรุณาสังเกตดีๆ สถานที่ที่ใช้เปิดนั้น จะไม่เป็นมูลนิธิ.....หรือเป็นห้องธรรม สถานธรรม(佛院ฝอเยวี่ยน)
ถ้าสถานที่ไหนใช้ชื่อเป็นมูลนิธิ....หรือชื่อภาษาจีนเป็น ฝอเยวี่ยน(สถานธรรม ห้องธรรม) ให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่าเป็นลัทธิอนุตรธรรม
ถ้าหากบางที่ใช้ชื่อเป็น ฝอถัง(佛堂)(ห้องพระ ตำหนักพระ มันจะแปลคล้ายๆกับ ฝอเยวี่ยน) บางทีอาจจะเป็นพุทธมหายานแท้ หรือลัทธิอนุตรธรรมก็ได้ ให้ใช้วิธีสังเกตดังนี้
การตั้งพระประธานโดยปรกติพุทธมหายานจะไม่ตั้งพระอริยเมตไตรเป็นพระประธาน แต่จะตั้งประธานเป็นสองอย่างหลักๆคือ
แบบนิกายสุขาวดี จะตั้ง พระอมิตภะพุทธเจ้าคู่กับพระโพธิสัตว์สองพระองค์คือพระมหาสถามปราปต์โพธิสัตว์(ไต่ซีจู้ผ่อสัก) พระอวโลกิเตศวรโพธิสัตว์(กวนอิมผ่อสัก)
และในนิกายอื่นๆของมหายานส่วนมากจะตั้งประธานเป็นสามองค์คือ พระโคตมพุทธเจ้า(เสกเกียมุนิฮุก) พระอมิตาภพุทธเจ้า(ออนี้ทอฮุก) พระไภษัชยคุรุพุทธเจ้า(เอี้ยซือฮุก) โดยมีพระเวทย์โพธิสัตว์(อุ่ยท้อผ่อสัก)ตั้งอยู่ฝั่งตรงข้ามและหันหน้าเข้าหาพระประธาน และหลังอุ่ยท้อผ่อสักจะเป็น พระอริยเมตตรัยโพธิสัตว์(หมีเหล็กผ่อสัก)
หากเห็นการตั้งพระประธานสองแบบนี้ ก็สามารถเชื่อได้ว่าเป็นพุทธมหายานแท้
สิ่งที่น่าสังเกตุอีกอย่างคือ การตั้งรูปหล่อของพระจี้กง และใกล้ๆจะมีกวนกง(กวนอู) โดยกวนกงนี้หากใครอ่านภาษาจีนได้ต้องสังเกตว่าเขียนว่าเป็นชื่ออะไร หากเขียนว่าเป็น พระวิหารบาลโพธิสัตว์ หรือพระสังฆารามโพธิสัตว์(แคน้ำผ่อสัก)ก็ถือว่าเป็นพุทธมหายาน เพราะพุทธมหายานรับกวนอูเป็นหนึ่งในโพธิสัตว์ที่คุ้มครองพุทธสถาน แต่ลัทธิอนุตรธรรม จัดกวนกงเป็นเง็กเซียนฮ่องเต้ ดังนั้นชื่อจึงเปลี่ยนไปเป็น กวนเส่งตี่กุง
------------------
ฝอเยวี่ยน จะเป็นสถานที่ที่ใช้ในการสอนก็ได้ ทำศาสนพิธีก็ได้ ซึ่งลัทธิอนุตรธรรมนั้นจะเน้นทั้งสอนเผยแพร่ และทำศาสนพิธีกันในฝอเยวี่ยน หรือที่เรียกภาษาไทยกันในวงการว่า "สถานธรรม"

ฝอถัง จะเป็นสถานที่ที่บ้านเราเรียกว่า "โรงเจ" จะเป็นสถานที่ที่ อุบาสก อุบาสิกาในพุทธศาสนามหายาน ได้รับศีลอุโบสถ มาทำพิธีกรรมทางศาสนา ซึ่งทางมหายานจะมีการประกอบพิธีของทางฆราวาส โดยให้ฆราวาสแต่งกายคล้ายพระสงฆ์ 
โรงเจ บางแห่งต้องดูด้วยว่า เป็นของพุทธ หรือของเต๋า ทั้งสองศาสนาจะไม่เหมือนกัน แต่เชื่อได้ว่าคนจีนในไทยโดยทั่วไปจะไม่สามารถแยกกันออก เนื่องจากขนบธรรมเนียมจารีตของจีนนั้นเชื่อมโยงความศรัทธาทั้งพุทธและเต๋า (แต่ไม่ใช่อนุตรธรรม)
------------------
ทีนี้หลักการที่สามคือ สังเกตสาวกลัทธินี้มักจะพูดว่า ทุกศาสนาสอนเหมือนกันคือความดี เพราะมีรากฐานมาจากแหล่งเดียวกัน ทุกศาสนา ทุกคนบนโลกนี้เป็นพี่น้องกัน ไม่ควรแบ่งแยก บลาๆๆๆๆ......
คือฟังแล้วมันก็มีเหตุผลดี มันก็ถูก แต่ทั้งหมดมันจะโยงเข้าสู่หลักธรรมและประวัติอันบิดเบือนของลัทธินี้ โดยการ จับพุทธผสมเต๋าเสริมขงจื้อ แซมๆด้วยคริสต์กับอิสลาม (ต้องหาอ่านเอง ดราม่าเยอะมาก)
และชอบพูดเกี่ยวกับ อภิปรัชญา ว่าด้วย ความว่าง ความไม่ยึดติด แม้ธรรมก็ไม่สามารถยึดได้ อะไรทำนองนี้ โดยเอาต้นแบบมาจากหลัก อภิปรัชญาของทางมหายานว่าด้วย อสังขตธรรมที่เป็นเหนือกว่านิพพาน (ในนิกายของมหายานบางนิกาย อสังขตธรรมนี้อยู่เหนือนิพพาน แต่บางนิกายถือเหมือนเถรวาทว่า อสังขตธรรมคือนิพพาน) หรือในศาสนาเต๋า ว่าด้วย มรรคา(เต้า) ความว่างก็ยังไม่ว่างเพราะในความว่างก็มีกรอบของความว่าง ต้องไม่มีความคิดว่าว่างา ถึงจะว่าง (งงไหม ภาวะเต้า ของเต๋า กับภาวะ อสังขตธรรมของมหายานบางนิกายจะเหมือนกัน) คือถ้างงเนี่ย ก็จะโดนลัทธินี้ลวงได้ง่ายครับ เพราะฟังแล้วมึนๆก็เลยคิดว่าลึกซึ้ง และสุดท้ายก็จะหลวมตัวไปตามน้ำกับลัทธินี้ได้ง่ายเลย
----------------------
หลักการที่สี่
ลัทธินี้จะไม่มีนักบวช ไม่มีพระสงฆ์ ไม่มีอุบาสก อุบาสิกาที่ได้รับศิลอุโบสถตามแบบของมหายานในการทำศาสนพิธี
แต่ลัทธินี้จะมี ผู้อาวุโส และผู้บรรยายธรรม และการบำเพ็ญกุศลต่างๆ ซึ่งแน่นอนว่า ลัทธินี้ดำเนินกิจกรรมในรูปแบบศาสนาไม่ได้ จึงเข้ามาในรูปแบบของ มูลนิธิเพื่อการกุศลต่างๆ ซึ่งก็เหมือนกับมูลนิธิการกุศลทั่วไป แต่ก็จะมีแอบแฝงโดยการสอนธรรมเป็นบางครั้งบางคราวมอมเมาเด็ก และชาวบ้านที่ไม่รู้ธรรม
-----------------------
หลักการที่ห้า
ลัทธินี้จะอ้าง รับธรรมะ รับการชี้แนะ บำเพ็ญแล้วตายไปร่างกายจะผ่องใส มีสีเหลืองทอง ไม่ดำคล้ำ ไม่แข็งกระด้างน่ากลัวเหมือนคนทั่วไป (ลัทธินอกรีตมักจะอ้างแบบนี้ทุกลัทธิ หากินกับศพ) ซึ่งศพที่จะเป็นแบบนี้มันมีเหตุปัจจัยอยู่ ทางการแพทย์มีอธิบายครับ(หาอ่านเอาเอง ในเน็ทมีเยอะ) ถ้าจะอ้างปาฏิหาริย์แบบนี้ ปฏิบัติจนศพขึ้นพระธาตุ ไม่เน่า กระดูกแปรสภาพเป็นแก้ว แบบพระเกจิอาจารย์ผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบไม่เจ๋งกว่าหรอ
และชอบอ้างว่า รับธรรม อธิษฐานต่อพระโพธิสัตว์ หรือจี้กงแล้วจะหายไข้ หายป่วย บลาๆๆๆๆๆ อย่างเจ้าลัทธินี้ชื่อว่า ผู้อาวุโส......มักจะเล่าประวัติตัวเองว่า ป่วยรักษาไม่หาย พอมารับธรรมะปุ๊บหายปั๊บ อะไรประมาณนั้น(วิธีนี้ใช้กันเยอะเกือบทุกลัทธิ ของคาทอลิคบางประเทศแทบใกล้ๆไทยเราก็มีบาทหลวงผู้ทรงการภาวนา สามารถขอพระพระเยซูให้รักษาโรคร้ายให้หายได้ในพริบตา)
-------------------------
จริงๆมีอีกเยอะครับ ต้องลองศึกษา และหาอ่านต่อไปเองในเน็ท เพราะไม่มีหนังสือขาย
หวังว่าหลักๆที่ผมให้ไป4-5ข้อจะมีประโยชน์สำหรับทุกท่านนะครับ
---------------------
บางทีคนมักจะคิดว่า ก็เขาสอนให้คนทำดี แล้วจะไปขวางทำไม
คือมันก็เป็นการนำประวัติ นำคำสอนของศาสนาอื่นๆมาบิดเบือน แล้วติ๊ต่างไปว่าเป็นของตัวเอง มีการสร้างพระเจ้าขึ้นมาใหม่ และกดขี่ศาสนาเดิมๆลงไป สำหรับผมมันก็คือการโกหกและดิสเครดิตลบหลู่ศาสนาเดิมๆ

ผมจะไม่วุ่นวาย ไม่โจมตีอะไรเลย หากลัทธินี้ไม่เอาชื่อศาสนาเดิมๆ ไม่เอาชื่อครูบาอาจารย์ในศาสนาอื่นๆมาอ้าง คือจะสร้างลัทธิใหม่ก็สร้างใหม่ทั้งพระเจ้า ประวัติ เทพเทวดาอะไรก็สร้างใหม่ไปเลย อย่ามาอ้างกันแบบนี้

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น