วันศุกร์ที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2559

พ่อผมฆ่าตัวตาย (เรื่องแต่งจากเค้าโครงจริง)

เมื่ออาทิตย์ก่อนมีโยมอายุประมาณ30-40ปีมาจากพิษณุโลก มาไหว้พระหน้าเศร้าๆมาเลย บอกว่ามาทำบุญให้พ่อ พ่อฆ่าตัวตายพึ่งเผาไปเมื่อวาน ก็เลยคุยกัน พ่อเขาแขวนคอตายเพราะทนป่วยไม่ไหว แถมยังชอบทะเลาะกับแม่ ก็เลยอาจจะหงุดหงิดท้อแท้ใจฆ่าตัวตายไป
ลูกเขาก็กลัวว่าพ่อจะไปไหนไม่ได้ รับบุญไม่ได้ จะต้องฆ่าตัวตายงี้ห้าร้อยชาติอะไรก็ว่าไป หรือจะวนเวียนเป็นผีเฮี้ยนคอยมาฆ่าตัวตายให้เห็นซ้ำๆตรงบริเวณนั้นให้คนอื่นเห็น ก็เลยไม่สบายใจมาไหว้พระปรับทุกข์กับพระ

ไอ้เราเห็นก็กลุ้มตามไปด้วย คิดในใจเราจะพูดไงดีนะ กลัวพูดไม่ถูกเดี๋ยวจะยิ่งทำให้เขาทุกข์ใจไปอีก ก็ได้แต่พูดสอนให้เขาเข้าใจว่าชีวิตคนเรามันก็แค่นี้แหล่ะ เกิดมาแล้วก็ตายจากไป เพียงแค่ว่าใครจะตายก่อนตายหลัง หรือทำใจกับความตายได้ไหม บางคนทำใจได้ก็ตายอย่างสงบ คนทำใจไม่ได้ก็ตายอย่างทุรนทุรายเพราะไม่อยากตาย ไม่อยากตายเพราะอะไร ก็เพราะยังยึดติดอยู่กับ ลาภยศ ชื่อเสียง คนรัก ของหวง ต่างๆนานาที่มันไม่ใช่ของที่ควรจะยึดถือเป็นสรณะ บางคนก็เสียดายเวลาที่ผ่านมาไม่เคยได้ใช้ชีวิตให้เกิดสาระประโยชน์ก็นึกเสียใจเศร้าใจ

คนบางคนป่วยหนัก แต่ทำใจได้ ก็ใช้ชีวิตอย่างปรกติ ลาจากโลกไปอย่างมีความสุข บางคนแข็งแรงไม่เจ็บป่วย แต่อยู่ดีๆเกิดอุบัติเหตุตายไปแบบไม่รู้ตัวทำใจไม่ได้ก็จากโลกไปอย่างทรมาน
แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นถึงแม้เขาจะฆ่าตัวตาย เราจะรู้ได้ไงว่าเขาจะต้องกลายเป็นผีเฮี้ยน หรือเขาจะต้องกลายเป็นวิญญาณที่มาฆ่าตัวตายซ้ำๆกันอย่างนี้จนกว่าจะหมดอายุขัย หรือว่าเขาจะต้องกลับมาเวียนว่ายตายเกิดเป็นคนฆ่าตัวตายอย่างนี้อีกห้าร้อยชาติ ตราบใดถ้าเราไม่ได้ฝึกปฏิบัติสมาธิจนเข้าถึงธรรมเข้าถึงความละเอียดของจิตให้สามารถสัมผัสกับเรื่อ่งเหล่านี้ได้ด้วยตนเอง เราก็ไม่มีทางรู้ได้หรอก

บางทีตอนเขาตายเขาอาจจะนึกถึงเรื่องที่เป็นกุศล นึกถึงตอนที่เคยทำดีอยู่ก็ได้ หากเขาตายไปในตอนนั้นเขาก็อาจจะได้ไปในภพภูมิที่ดี ไปเป็นเทวดาก็ได้
หรือบางทีนี่อาจจะเป็นชาติภพสุดท้าย เป็นชาติที่500ที่เขาจะฆ่าตัวตายก็ได้ เมื่อเขาตายไปมันก็ย่อมจบเริ่มต้นใหม่

แต่บางครั้งแทนที่เขาจะไปดีตามบุญกรรมของเขา เรากลับไปยึดไปห่วงเขา ไปคิดในด้านลบ ไม่ปล่อยวางเสียที มันก็เป็นการไปยึดไปผูกเขาเอาไว้ แทนที่เขาจะได้ไปดี เขากลับโดนเราล่ามเอาไว้อยู่กับที่ แทนที่เขาจะได้ไปดี กลับกลายเป็นต้องมาห่วงเรา เพราะทนไม่ได้ที่เห็นเราไม่สบายใจ

ดังนั้นสิ่งแรกที่เราสามารถทำได้ในตอนนี้ก็คือ ทำจิตใจให้สบาย อย่าได้เศร้าโศกเสียใจเลย เราต้องเข้าใจว่านี่เป็นธรรมชาติของโลก เมื่อเขาเห็นเราคลายเศร้าเสียใจแล้วเขาย่อมหมดห่วงไปในทางที่ดีได้

ไอ้ที่บางทีเราไปเชื่อไปฟังคนอื่นเขาพูดกันว่า เห็นพ่อเธอยังอยู่ตรงนั้นตรงนี้ ถามว่าในเมื่อเราเป็นลูกแท้ๆ เขากลับไม่มาให้เราเห็น แต่ไปให้คนอื่นที่ไม่รู้จักกันเห็น แล้วมันจะมีประโยชน์อะไร คนเหล่านั้นมันก็เป็นพวกแม่ค้าปากเปราะวันๆไม่มีอะไรทำ แถมขี้กลัวเกินเหตุเพราะความงมงาย บางทีอยู่คนเดียวมึดๆเห็นถุงปลิวไปตามลมก็คิดว่าผีหลอก เห็นหมาเห่าก็คิดว่าหมาเห็นผี เห็นแมววิ่งมาก็คิดว่าผีมาขอส่วนบุญ พวกนี้มันคิดไปเองทั้งนั้นแหละ ต่อให้มันเป็นผีจริง พวกนี้มันก็มีผีบางจำพวกที่ชอบจำแลงเป็นคนตายเพื่อหลอกให้คนเป็นทำบุญไปให้ บางทีเขาอาจจะเห็นผีเหล่านั้นก็ได้ แทนที่จะเป็นคนตายจริงๆ การที่เราบุญตามพิธีกรรมอย่างถูกต้อง มีการเลี้ยงพระ สาธยายพระอภิธรรมเป็นต้นเนี่ย มันเป็นบุญที่เขาสามารถรับไปปรับภพภูมิให้ดีขึ้นได้อยู่แล้ว ก็ขอให้โยมอย่าได้วิตกกังวลไปเลยว่าพ่อเธอจะไม่ได้รับ หรือว่าต้องลงนรกแล้วมาอนุโมทนาไม่ได้

เมื่อพูดถึงจุดนี้ โยมก็ขอถวายสังฆทาน โดยนำของอุปโภคบริโภคที่ได้เตรียมมาถวาย กล่าวคำถวายแด่พระสงฆ์อุทิศให้กับผู้ตาย ก่อนที่จะถวายก็บังเอิญนึกได้ว่า ครูบาอาจารย์เคยมอบพระคาถาเรียกวิญญาณสำหรับอุทิศให้คนตายมาให้ ก็เลยบอกกล่าวโยมให้ว่าพระคาถานั้นตาม และตั้งจิตอธิษฐานขอให้พ่อของโยมมาร่วมอนุโมทนา รับรู้เป็นสักขีพยานในการถวายสังฆทาน และร่วมกันถวายพร้อมกันกับลูกหลานในวันนี้ และรับผลบุญที่ลูกหลานได้กระทำบำเพ็ญมาให้ในครั้งนี้ด้วย

เมื่อโยมได้กล่าวคำอธิษฐานตาม และกล่าวคำถวายสังฆทาน กับถวายสังฆทาน รับพร อุทิศบุญเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

โยมมองหน้าพระด้วยอาการแปลกๆ ก่อนจะพูดว่า ผมขอถามอะไรบางอย่างได้ไหมครับ เมื่อกี้ตอนที่กล่าวคาถาเอ่ยถึงชื่อพ่อผม และกล่าวคำถวายเนี่ย ผมขนลุกขนพองอยู่ตลอดเวลาเลย ไม่รู้เป็นเพราะอะไร ไปทำบุญที่อื่นถวายสังฆทานที่อื่นแล้วอุทิศให้พ่อ ไม่เห็นจะเป็นอย่างนี้เลย ผมรู้สึกแปลกไปรึเปล่าครับ

พระก็ยิ้ม ตอบว่าโยมถ้าโยมรู้สึกอย่างนั้น ก็แสดงว่าพ่อของโยมนั้นอาจจะมาร่วมอนุโมทนาได้แล้ว เขาสามารถมารับบุญได้ แต่อาตมาใช้คำว่า "อาจจะ"นะ เพราะอาตมาก็ไม่ใช่พระผู้ทรงอภิญญาอะไร ไม่ได้ทรงสมาธิสามารถรับรู้สิ่งเหนือธรรมชาติได้ โยมเป็นลูกของเขาโยมย่อมรู้สึกได้ดีกว่าใครอยู่แล้ว ถ้าโยมรู้ว่าเขามาก็แสดงว่าเขาก็น่าจะไปดีได้แล้วหล่ะ ก็อย่างที่รู้กันตามความเชื่อว่า เขาอาจจะไม่สามารถรับผลบุญได้เพราะติดอยู่กับการฆ่าตัวตาย หรือต้องลงอบายภูมิในทันที ถ้าโยมรู้สึกว่าเขามาอาตมาก็ว่าเป็นนิมิตหมายที่ดีนะ

ต่อไปโยมก็ไม่ต้องกังวลอะไรอีก อย่าคิดในด้านลบให้เขาเป็นห่วงเราเลย คิดแต่ในด้านที่ดีๆ เป็นไปได้ก็ทำจิตใจให้ผ่องใสร่าเริงเข้าไว้ ว่างๆก็เข้าวัดสวดมนต์ไหว้พระบ้าง บุญกุศลที่เราทำเนี่ยเราเป็นลูก ผู้เป็นพ่อย่อมได้ในส่วนนี้อยู่แล้ว และผลบุญที่ใหญ่ที่สุดเลยเนี่ย ไม่จำเป็นต้องใช้เงินมาจับจ่ายซื้อของมาถวายพระอย่างนี้หรอกนะ บุญที่ว่าเนี่ยมหาศาลมาก นั่นคือบุญที่ได้จากการ "ภาวนา" แต่อย่างโยมเนี่ย เอาแค่วันละ3-5นาทีก็พอ ว่างๆก็นั่งภาวนาพุทโธๆๆๆไปเรื่อยๆ หรือนั่งสงบๆดูลมหายใจเข้าออก หายใจเข้ารู้ว่าเข้า หายใจออกรู้ว่าออก หรือจะภาวนาตามก็ได้ว่า เข้าหนอออกหนอ ยุบหนอพองหนอ ทำอย่างนี้วันละ3-5นาที หรือว่าทำก่อนนอน ภาวนาดูลมหายใจจนหลับไปก็ได้ แล้วทุกวันก็อุทิศบุญที่เคยทำมาให้กับพ่อ พ่อเราย่อมได้รับอยู่แล้ว

ยังไงก็อย่างที่บอกนะโยม ใครพูดอะไรในด้านไม่ดีว่าพ่อเธอยังไม่ไป ยังติดอยู่ที่นั่นที่นี่อะไรแบบนี้ เราต้องอย่าไปเชื่อเขา เราเชื่อตัวเราเอง เราเชื่อในสิ่งที่เรารับรู้ได้ก็พอ ทำจิตให้ผ่องใสร่าเริง คิดดีทำดี พ่อเราจะได้ไม่ต้องห่วงนะ

ผ่านไปหนึ่งอาทิตย์ วันนี้โยมคนเดิมมาไหว้พระอีกครั้งด้วยหน้าตาแจ่มใสสดชื่นมาเลย บอกว่าตั้งใจมาไหว้พระแล้วมากราบหลวงพี่โดยเฉพาะเลย เพราะพึ่งไปทำงานต่างจังหวัดมา พอกลับมาก็ตรงมาไหว้พระเลย โยมเขาก็บอกว่า สบายใจขึ้นเยอะหลังจากที่มาครั้งก่อน ไอ้เราเห็นอย่างนี้ก็ยินดีไปด้วย


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น