เมื่ออาทิตย์ก่อนมีโยมอายุประมาณ30-40ปีมาจากพิษณุโลก มาไหว้พระหน้าเศร้าๆมาเลย บอกว่ามาทำบุญให้พ่อ
พ่อฆ่าตัวตายพึ่งเผาไปเมื่อวาน ก็เลยคุยกัน พ่อเขาแขวนคอตายเพราะทนป่วยไม่ไหว
แถมยังชอบทะเลาะกับแม่ ก็เลยอาจจะหงุดหงิดท้อแท้ใจฆ่าตัวตายไป
ลูกเขาก็กลัวว่าพ่อจะไปไหนไม่ได้ รับบุญไม่ได้
จะต้องฆ่าตัวตายงี้ห้าร้อยชาติอะไรก็ว่าไป
หรือจะวนเวียนเป็นผีเฮี้ยนคอยมาฆ่าตัวตายให้เห็นซ้ำๆตรงบริเวณนั้นให้คนอื่นเห็น
ก็เลยไม่สบายใจมาไหว้พระปรับทุกข์กับพระ
ไอ้เราเห็นก็กลุ้มตามไปด้วย คิดในใจเราจะพูดไงดีนะ
กลัวพูดไม่ถูกเดี๋ยวจะยิ่งทำให้เขาทุกข์ใจไปอีก
ก็ได้แต่พูดสอนให้เขาเข้าใจว่าชีวิตคนเรามันก็แค่นี้แหล่ะ เกิดมาแล้วก็ตายจากไป
เพียงแค่ว่าใครจะตายก่อนตายหลัง หรือทำใจกับความตายได้ไหม
บางคนทำใจได้ก็ตายอย่างสงบ คนทำใจไม่ได้ก็ตายอย่างทุรนทุรายเพราะไม่อยากตาย ไม่อยากตายเพราะอะไร
ก็เพราะยังยึดติดอยู่กับ ลาภยศ ชื่อเสียง คนรัก ของหวง
ต่างๆนานาที่มันไม่ใช่ของที่ควรจะยึดถือเป็นสรณะ
บางคนก็เสียดายเวลาที่ผ่านมาไม่เคยได้ใช้ชีวิตให้เกิดสาระประโยชน์ก็นึกเสียใจเศร้าใจ
คนบางคนป่วยหนัก แต่ทำใจได้ ก็ใช้ชีวิตอย่างปรกติ
ลาจากโลกไปอย่างมีความสุข บางคนแข็งแรงไม่เจ็บป่วย
แต่อยู่ดีๆเกิดอุบัติเหตุตายไปแบบไม่รู้ตัวทำใจไม่ได้ก็จากโลกไปอย่างทรมาน
แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นถึงแม้เขาจะฆ่าตัวตาย
เราจะรู้ได้ไงว่าเขาจะต้องกลายเป็นผีเฮี้ยน
หรือเขาจะต้องกลายเป็นวิญญาณที่มาฆ่าตัวตายซ้ำๆกันอย่างนี้จนกว่าจะหมดอายุขัย
หรือว่าเขาจะต้องกลับมาเวียนว่ายตายเกิดเป็นคนฆ่าตัวตายอย่างนี้อีกห้าร้อยชาติ
ตราบใดถ้าเราไม่ได้ฝึกปฏิบัติสมาธิจนเข้าถึงธรรมเข้าถึงความละเอียดของจิตให้สามารถสัมผัสกับเรื่อ่งเหล่านี้ได้ด้วยตนเอง
เราก็ไม่มีทางรู้ได้หรอก
บางทีตอนเขาตายเขาอาจจะนึกถึงเรื่องที่เป็นกุศล
นึกถึงตอนที่เคยทำดีอยู่ก็ได้ หากเขาตายไปในตอนนั้นเขาก็อาจจะได้ไปในภพภูมิที่ดี
ไปเป็นเทวดาก็ได้
หรือบางทีนี่อาจจะเป็นชาติภพสุดท้าย เป็นชาติที่500ที่เขาจะฆ่าตัวตายก็ได้ เมื่อเขาตายไปมันก็ย่อมจบเริ่มต้นใหม่
แต่บางครั้งแทนที่เขาจะไปดีตามบุญกรรมของเขา
เรากลับไปยึดไปห่วงเขา ไปคิดในด้านลบ ไม่ปล่อยวางเสียที
มันก็เป็นการไปยึดไปผูกเขาเอาไว้ แทนที่เขาจะได้ไปดี
เขากลับโดนเราล่ามเอาไว้อยู่กับที่ แทนที่เขาจะได้ไปดี กลับกลายเป็นต้องมาห่วงเรา
เพราะทนไม่ได้ที่เห็นเราไม่สบายใจ
ดังนั้นสิ่งแรกที่เราสามารถทำได้ในตอนนี้ก็คือ
ทำจิตใจให้สบาย อย่าได้เศร้าโศกเสียใจเลย เราต้องเข้าใจว่านี่เป็นธรรมชาติของโลก
เมื่อเขาเห็นเราคลายเศร้าเสียใจแล้วเขาย่อมหมดห่วงไปในทางที่ดีได้
ไอ้ที่บางทีเราไปเชื่อไปฟังคนอื่นเขาพูดกันว่า
เห็นพ่อเธอยังอยู่ตรงนั้นตรงนี้ ถามว่าในเมื่อเราเป็นลูกแท้ๆ
เขากลับไม่มาให้เราเห็น แต่ไปให้คนอื่นที่ไม่รู้จักกันเห็น
แล้วมันจะมีประโยชน์อะไร คนเหล่านั้นมันก็เป็นพวกแม่ค้าปากเปราะวันๆไม่มีอะไรทำ
แถมขี้กลัวเกินเหตุเพราะความงมงาย
บางทีอยู่คนเดียวมึดๆเห็นถุงปลิวไปตามลมก็คิดว่าผีหลอก เห็นหมาเห่าก็คิดว่าหมาเห็นผี
เห็นแมววิ่งมาก็คิดว่าผีมาขอส่วนบุญ พวกนี้มันคิดไปเองทั้งนั้นแหละ
ต่อให้มันเป็นผีจริง
พวกนี้มันก็มีผีบางจำพวกที่ชอบจำแลงเป็นคนตายเพื่อหลอกให้คนเป็นทำบุญไปให้
บางทีเขาอาจจะเห็นผีเหล่านั้นก็ได้ แทนที่จะเป็นคนตายจริงๆ
การที่เราบุญตามพิธีกรรมอย่างถูกต้อง มีการเลี้ยงพระ สาธยายพระอภิธรรมเป็นต้นเนี่ย
มันเป็นบุญที่เขาสามารถรับไปปรับภพภูมิให้ดีขึ้นได้อยู่แล้ว
ก็ขอให้โยมอย่าได้วิตกกังวลไปเลยว่าพ่อเธอจะไม่ได้รับ
หรือว่าต้องลงนรกแล้วมาอนุโมทนาไม่ได้
เมื่อพูดถึงจุดนี้ โยมก็ขอถวายสังฆทาน
โดยนำของอุปโภคบริโภคที่ได้เตรียมมาถวาย กล่าวคำถวายแด่พระสงฆ์อุทิศให้กับผู้ตาย
ก่อนที่จะถวายก็บังเอิญนึกได้ว่า
ครูบาอาจารย์เคยมอบพระคาถาเรียกวิญญาณสำหรับอุทิศให้คนตายมาให้
ก็เลยบอกกล่าวโยมให้ว่าพระคาถานั้นตาม และตั้งจิตอธิษฐานขอให้พ่อของโยมมาร่วมอนุโมทนา
รับรู้เป็นสักขีพยานในการถวายสังฆทาน และร่วมกันถวายพร้อมกันกับลูกหลานในวันนี้
และรับผลบุญที่ลูกหลานได้กระทำบำเพ็ญมาให้ในครั้งนี้ด้วย
เมื่อโยมได้กล่าวคำอธิษฐานตาม
และกล่าวคำถวายสังฆทาน กับถวายสังฆทาน รับพร อุทิศบุญเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
โยมมองหน้าพระด้วยอาการแปลกๆ ก่อนจะพูดว่า
ผมขอถามอะไรบางอย่างได้ไหมครับ เมื่อกี้ตอนที่กล่าวคาถาเอ่ยถึงชื่อพ่อผม
และกล่าวคำถวายเนี่ย ผมขนลุกขนพองอยู่ตลอดเวลาเลย ไม่รู้เป็นเพราะอะไร
ไปทำบุญที่อื่นถวายสังฆทานที่อื่นแล้วอุทิศให้พ่อ ไม่เห็นจะเป็นอย่างนี้เลย
ผมรู้สึกแปลกไปรึเปล่าครับ
พระก็ยิ้ม ตอบว่าโยมถ้าโยมรู้สึกอย่างนั้น
ก็แสดงว่าพ่อของโยมนั้นอาจจะมาร่วมอนุโมทนาได้แล้ว เขาสามารถมารับบุญได้
แต่อาตมาใช้คำว่า "อาจจะ"นะ เพราะอาตมาก็ไม่ใช่พระผู้ทรงอภิญญาอะไร
ไม่ได้ทรงสมาธิสามารถรับรู้สิ่งเหนือธรรมชาติได้
โยมเป็นลูกของเขาโยมย่อมรู้สึกได้ดีกว่าใครอยู่แล้ว
ถ้าโยมรู้ว่าเขามาก็แสดงว่าเขาก็น่าจะไปดีได้แล้วหล่ะ
ก็อย่างที่รู้กันตามความเชื่อว่า
เขาอาจจะไม่สามารถรับผลบุญได้เพราะติดอยู่กับการฆ่าตัวตาย
หรือต้องลงอบายภูมิในทันที ถ้าโยมรู้สึกว่าเขามาอาตมาก็ว่าเป็นนิมิตหมายที่ดีนะ
ต่อไปโยมก็ไม่ต้องกังวลอะไรอีก
อย่าคิดในด้านลบให้เขาเป็นห่วงเราเลย คิดแต่ในด้านที่ดีๆ
เป็นไปได้ก็ทำจิตใจให้ผ่องใสร่าเริงเข้าไว้ ว่างๆก็เข้าวัดสวดมนต์ไหว้พระบ้าง
บุญกุศลที่เราทำเนี่ยเราเป็นลูก ผู้เป็นพ่อย่อมได้ในส่วนนี้อยู่แล้ว และผลบุญที่ใหญ่ที่สุดเลยเนี่ย
ไม่จำเป็นต้องใช้เงินมาจับจ่ายซื้อของมาถวายพระอย่างนี้หรอกนะ
บุญที่ว่าเนี่ยมหาศาลมาก นั่นคือบุญที่ได้จากการ "ภาวนา"
แต่อย่างโยมเนี่ย เอาแค่วันละ3-5นาทีก็พอ
ว่างๆก็นั่งภาวนาพุทโธๆๆๆไปเรื่อยๆ หรือนั่งสงบๆดูลมหายใจเข้าออก
หายใจเข้ารู้ว่าเข้า หายใจออกรู้ว่าออก หรือจะภาวนาตามก็ได้ว่า เข้าหนอออกหนอ
ยุบหนอพองหนอ ทำอย่างนี้วันละ3-5นาที หรือว่าทำก่อนนอน
ภาวนาดูลมหายใจจนหลับไปก็ได้ แล้วทุกวันก็อุทิศบุญที่เคยทำมาให้กับพ่อ
พ่อเราย่อมได้รับอยู่แล้ว
ยังไงก็อย่างที่บอกนะโยม
ใครพูดอะไรในด้านไม่ดีว่าพ่อเธอยังไม่ไป ยังติดอยู่ที่นั่นที่นี่อะไรแบบนี้
เราต้องอย่าไปเชื่อเขา เราเชื่อตัวเราเอง เราเชื่อในสิ่งที่เรารับรู้ได้ก็พอ
ทำจิตให้ผ่องใสร่าเริง คิดดีทำดี พ่อเราจะได้ไม่ต้องห่วงนะ
ผ่านไปหนึ่งอาทิตย์
วันนี้โยมคนเดิมมาไหว้พระอีกครั้งด้วยหน้าตาแจ่มใสสดชื่นมาเลย
บอกว่าตั้งใจมาไหว้พระแล้วมากราบหลวงพี่โดยเฉพาะเลย เพราะพึ่งไปทำงานต่างจังหวัดมา
พอกลับมาก็ตรงมาไหว้พระเลย โยมเขาก็บอกว่า สบายใจขึ้นเยอะหลังจากที่มาครั้งก่อน
ไอ้เราเห็นอย่างนี้ก็ยินดีไปด้วย
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น