คาราเต้ และมวยจีน
ความเป็นมวยจีนที่ยังหลงเหลืออยู่ในวิชาคาราเต้ปัจจุบัน
โดยเฉพาะมวยสายเส้าหลินใต้(南少林拳)คงหลีกหนีไม่พ้นเอกลักษณ์ของมวยเส้าหลินใต้
ซึ่งก็คือท่ายืน “ท่ายืนหนีบแกะ
หรือท่ายืนอักขระเลขแปด” (骑羊步ฉีหยังปู้ ขี่เอี๊ยโป่ว หรือ 八字步ปาจื้อปู้
โป๊ยหยี่โป่ว) ที่คาราเต้รับเข้ามาเป็นท่ายืนพื้นฐานในการฝึกโดยเฉพาะในคาราเต้สายนาฮาเต้(那覇手) เช่นสำนัก โกจูริว(剛柔流)ริวเอริว(劉衛流)อุเอจิริว(上地流) และชิโตริว(糸東流)รวมถึงคาราเต้ในสายของชูริเต้(首里手)ด้วยเช่นสำนัก
โชโตกันริว(松濤館流)วาโดริว(和道流)โชรินริว(小林流 โคบายาชิโชรินริว
และ松林小林流มัทสุมุระโชรินริว)โชรินริว(昭林流)เป็นต้น
ปล. วัดเส้าหลินในประเทศจีนมีอยู่สามแห่ง
โดยวัดที่มีความโดดเด่นทางด้านหมัดมวยจะมีอยู่สองที่คือ วัดเส้าหลินที่ภูเขาซงซัน
เหอหนัน(河南嵩山少林寺) เรียกว่าเส้าหลินเหนือ(北少林) และวัดเส้าหลินที่เขตฉวนโจว เมืองฟุเจี้ยน(ฮกเกี้ยน)(福建泉州南少林寺) เรียกว่า เส้าหลินใต้(南少林) โดยวิชาหมัดมวยในแถบภาคใต้ของจีนจะได้รับอิทธิพลมาจากวิชาของเส้าหลินใต้เกือบทั้งหมด
เรียกรวมๆว่า หนันเฉวียน(南拳) หรือ หนันเส้าหลินเฉวียน(南少林拳)
ท่ายืน(立ち)
โดยคาราเต้ท่ายืนหนีบแกะจะมีดังนี้ อุจิฮาชิจิดาจิ(内八字立ち)ซันชินดาจิ(三戦立ち) เซชันดาจิ(十三立ち)และฮันเกทสึดาจิ(半月立ち)ซึ่งท่ายืนเหล่านี้ดัดแปลงมาจากการยืนหนีบแกะในมวยจีน
จะมีลักษณะหันปลายเท้าข้อสู่ด้านในเพื่อใช้กล้ามเนื้อด้านในขา
และกล้ามเนื้อหลังขาล๊อคสะโพกให้ตรง เพื่อรักษาสมดุลย์ให้มั่นคง
อีกทั้งยังเป็นการป้องกันการเตะฝ่าหมากอีกวิธีหนึ่งด้วย
ไม่เพียงแต่ในมวยสายฮกเกี้ยนเท่านั้นที่มีท่าหนีบแกะ
ทางมวยสายนักพรตเต๋าบางสายของจีน (โดยเฉพาะท่าในชุดฝึกชี่กงของเต๋าบางสำนัก) จะมีท่ายืนหนีบด้วย แต่ไม่เรียกว่า หนีบแกะ แต่เรียกว่า หนีบกระเรียน
หรือนั่งกระเรียน(骑鹤步ฉีเฮ่อปู้) เพราะนักพรตเต๋าขี่กระเรียนขึ้นสวรรค์ ในชุดฝึกมวย หรือชี่กงของเต๋า
ก็จะมีท่าเหล่านี้อยู่
โคเทะคิทาเอะ(小手鍛え)
ในคาราเต้จะแบ่งการฝึกออกเป็นสามรูปแบบหลักๆ
คือการฝึกคิฮน(基本พื้นฐาน)คาตะ(型ท่ารำ) และคุมิเตะ(組み手การฝึกต่อสู้)ในการฝึกพื้นฐานนั้นสิ่งที่ยังคงแบบฉบับของมวยเส้าหลินใต้ก็คือ โคเทะคิทาเอะ(小手鍛え)ซึ่งเป็นชุดฝึกพื้นฐานมวยเส้าหลินใต้
โดยการจับคู่สองคนใช้ข้อมือท่อนแขนเหวี่ยงเป็นวงกลมกระแทกกันในท่าต่างๆเรียกว่า
ตุ้ยเลี่ยน(对练) ซึ่งคาราเต้ได้นำท่วงท่าต่างๆในการฝึกนี้มาเป็นพื้นฐานในการปัดป้องสี่ท่าพื้นฐาน
แทนการปัดป้องต่างๆที่มีมากมายในมวยจีน โดยสี่ท่าพื้นฐานมีดังนี้ โจดันอาเกอุเกะ(上段上げ受け)ชูดันโซโตอุเกะ(中段外受け)ชูดันอุจิอุเกะ(中段内受け) และเกดันบาราย(下段払い)
แต่ในสำนักสายที่ไม่มีการดัดแปลงท่าปัดป้อง
ท่วงท่าการปัดก็จะไม่เหมือนคาราเต้สำนักทั่วไป
กล่าวคือไม่มีการปัดป้องพื้นฐานสี่ท่าที่สำนักอื่นๆมี แต่การปัดป้องจะเป็นลักษณะเฉพาะตัวของมวยต้นกำเนิดนั้นๆ
เช่น สำนักอุเอจิริว ซึ่งตามประวัติกล่าวว่ามาจาก มวยอู๋จู่เฉวียน
หู่เฉวียนมวยเสือ(虎拳)เฮ่อเฉวียนมวยกระเรียน และหลงเฉวียนมวยมังกร(龙拳)ของฮกเกี้ยน การปัดป้องทั้งหมด จะเป็นการวาดวงกลมเป็นหลัก และเน้นที่การใช้
ง่ามนิ้ว ข้อมือ ฝ่ามือกระแทก และการคว้าจับ
ท่ารำคาตะ(型)
สิ่งที่เป็นการบ่งบอกว่าคาราเต้นั้นคือมวยเส้าหลินใต้ได้ดีที่สุดนั่นคือ
ท่ารำคาตะของคาราเต้ จะเห็นได้จาก คาตะต่างๆดังนี้
ซันจิน(三戦) ในสำนักฝ่ายนาฮาเต้
เช่น โกจูริว ชิโตริว ริวเอริว อุเอจิริว ซึ่งเป็นมวยเส้นชุดหนึ่งของมวยเส้าหลินใต้เรียกว่า
ซันจั้น(三战)มวยชุดซันจั้นจะมีฝึกกันเฉพาะในมวยอู๋จู่เฉวียน(五祖拳มวยห้าบรรพบุรุษ ประกอบไปด้วยมวยไท่จู่ไท่จู่เฉวียน太祖拳 มวยกระเรียนเฮ่อเฉวียน鹤拳 มวยลิงโฮวเฉวียน猴拳 มวยอรหันต์หลอฮั่นเฉวียน罗汉拳 และมวยตักม๊อต๋าหมัวเฉวียน达尊拳)ไป๋เฮ่อเฉวียน(白鹤拳) หมิงเฮ่อเฉวียน(鸣鹤拳) ซึ่งเป็นมวยสายฮกเกี้ยนเส้าหลินเท่านั้น
เทนโช(転掌) เทนโชเป็นท่าสำคัญที่สุดรองลงมาจากซันจินในสำนักโกจูริว
และริวเอริว
เป็นท่าที่ดัดแปลงมาจากมวยหมิงเฮ่อเฉวียนเป็นการใช้ฝ่ามือปัดป้องด้วยการวาดวงกลมไปมา
เสมือนปีกนกกระเรียน ดังจะเห็นได้จากสำนักโกจูริว และริวเอริว
ที่ผู้ก่อนตั้งทั้งสองคนได้ร่ำเรียนวิชาหมิงเฮ่อเฉวียนมาจากอาจารย์เดียวกันคือปรมาจารย์เซี่ยจงเสียง(谢宗祥)ผู้ก่อตั้งวิชาหมิงเฮ่อเฉวียน นอกจากเทนโชจะถูกดัดแปลงมาจากมวยหมิงเฮ่อแล้ว
เทนโชยังมีความคล้ายคลึงกับมวยหย่งชุนในมวยเสี่ยวเนี่ยนโถว(小念头สิ่วหนิมเถ่า)ซึ่งเป็นมวยชุดเส้นที่หนึ่งของหย่งชุนอีกด้วย
เนื่องจากมวยหมิงเฮ่อ
และมวยหย่งชุนนั้นต่างมีความเกี่ยวข้องสัมพันธ์กันอย่างลึกซึ้ง
เซชัน(十三)หรือฮันเกทสึ(半月)ในสำนักโชโตกันริว
วาโดริว โชรินริว โมโทบุริว(本部流) หรือสำนักอื่นๆที่มาจากสายชูริเต้ จะมีคาตะเซชันที่เป็นการฝึกท่าหนีบแกะ
และคงท่ามวยซันจั้นอยู่
ฮาคุซุรุ (白鶴)ในสำนักที่มาจากสายนาฮา และที่มาจากสายชูริเต้บางสำนัก
ได้นำท่วงท่าจากมวยไป๋เฮ่อ ผสมกับมวยซันจั้น จนเป็นท่าคาตะกระเรียนขาวฮาคุซุรุ
ท่ายืนใน ฮาคุซุรุ จะเป็นท่ายืน เนโกะอะชิดาจิ(猫足立ちหรือท่ายืนขาหน้าว่าง虚步ซวีปู้) และซุรุโนะดาจิ(鶴の立ちหรือท่ายืนขาเดียว独立步ตู๋ลี่ปู้)เกือบทั้งหมด ท่วงท่าจะเป็นการใช้มือในรูปแบบของ
โชเต้(掌手ฝ่ามือ)ไฮชู(背手หลังมือ)นุคิเตะ(貫き手มือหอก)ไฮโต(背刀สันมือด้านใน)ชูโต(手刀สันมือด้านนอก)วาชิเดะ(鷲でปากไก่)คาคุโต้(鶴頭หัวไก่)เป็นหลัก และจะไม่มีการชก
คาคิเอะ(カキエ、掛け鍛えคะเคคิทาเอะ)หรือการผลักมือ
พันมือ(推手ทุยโส่ว 黐手ชือโส่วหรือชี้เสา)
การผลักมือเป็นเอกลักษณ์ในการฝึกทักษะการฟังแรง
ประสาทสัมผัส ปฏิกริยาตอบสนองในการจัดสมดุลย์
และการเคลื่อนไหวเชิงมวยของมวยไท่เก็กคุ้ง(太极拳ไท่จี๋เฉวียน)มวยฝ่ามือแปดทิศ(八卦掌ปากั้วจ่าง)และสายฮกเกี้ยนเช่นมวยหวิ่งชุนควิ่น(咏春拳หย่งชุนเฉวียน)มวยอู๋จู่เฉวียนเป็นต้น
คาราเต้สายที่ได้รับความเป็นมวยสายฮกเกี้ยนมายิ่งมากเท่าไหร่
การฝึกผลักมือก็ยิ่งหลงเหลืออยู่มากเท่านั้น จะเห็นได้จากสำนักโกจูริว ชิโตริว
อุเอจิริว ริวเอริว ซึ่งมีระบบการฝึกผลักมือ แต่การผลักจะไม่ใช่การผลักมือแบบสิ่ทิศตรง
สี่ทิศเฉียงเหมือนไท่เก็ก แต่จะเป็นลักษณะการหมุนมือ และในขั้นสูงจะมีการชก กระแทก
คล้ายลักษณะการพันมือชือโส่วในหมัดหย่งชุนเสียมากกว่า
โคคิว(呼吸การหายใจ)
ในคาราเต้ได้รับทฤษฎีเรื่องการหายใจด้วยท้องน้อย(丹田ตันเถียน ทันเด็น)มาจากวิชามวยจีน
แต่สิ่งที่เป็นเอกลักษณ์ของมวยสายฮกเกี้ยนเส้าหลินใต้ ที่ไม่มีในมวยเหนือนั่นคือ
การออกเสียง และการผ่อนเกร็งช่วงท้อง เพื่อช่วยในเรื่องการบริหารอวัยวะภายใน
และเค้นกำลังจากร่างกาย ซึ่งการหายใจในลักษณะนี้คาราเต้เรียกว่า อิบุกิ(息吹แปลว่าการพ่นลมหายใจ)จะมีอยู่ในเฉพาะสำนักโกจูริว
และริวเอริว ซึ่งการอิบุกิ จะแบ่งออกเป็นสามลักษณะคือ
อินอิบุกิ(陰息吹)คือการหายใจแบบหยิน หรือแบบผ่อนคลายตามธรรมชาติหายใจเข้าออกช้ายาวลึก
หายใจทั่วท้อง
โยอิบุกิ(陽息吹)คือการหายใจแบบหยัง หรือการใช้กล้ามเนื้อช่วยเกร็งบังคับในการไล่ลมออกจากท้อง
เพื่อให้เลือดสูบฉีดมากขึ้น
ฮันอินโยอิบุกิ(半陰陽息吹)คือการหายใจแบบผสมผสานระหว่างอ่อนแข็งหยินหยังมีการผ่อนคลาย
เกร็งกล้ามเนื้อ และกำลังในการหายใจ
ในขณะที่สำนักอื่นๆจะหายใจเป็นธรรมชาติตามการใช้แรงของกล้ามเนื้อ
ให้ท่วงท่าการเคลื่อนไหวเป็นตัวกำหนดการหายใจว่าจะช้า เร็ว ยาว ลึก
หรือระเบิดลมหายใจที่เรียกว่า คิไอ(気合)หรือเฮิงฮ่าในภาษาจีน(哼哈)การคิไอจะมีอยู่ในคาราเต้ทุกสำนัก
เป็นการหายใจออกอย่างรวดเร็วผสานกับการใช้แรงจากร่างกายในการเคลื่อนไหวท่วงท่า
โดยมีความเชื่อว่าการคิไอ จะสามารถช่วยให้ร่างกายผ่อนคลายในขณะที่ส่งแรง
แรงกำลังที่ส่งออกไปไม่ติดขัดที่ร่างกาย และเสริมกำลังในการจู่โจมได้อีกด้วย
ในการคิไอนั้น ยิ่งเสียงใสกังวานและดังก้อง โดยที่เสียงไม่สั่นออกมาจากลำคอ
ยิ่งดังกังวานเท่าไหร่ ยิ่งแสดงให้เห็นถึงความแข็งแรงของท้องน้อย
ซึ่งเป็นจุดศูนย์รวมของร่างกาย ยิ่งท้องน้อยหรือตันเถียนแข็งแรงมากเท่าไหร่
ร่างกายเราก็จะแข็งแรงมากขึ้นเท่านั้น
ประวัติ
ในมวยสายชูริเต้ มีการอ้างถึง มวยสิงอี้เฉวียน(形意拳มวยเหนือสายเหอหนาน)ว่าได้รับการฝึกจากอาจารย์สิงอี้ท่านหนึ่งชื่อ
T'ung Gee Hsing (ไม่สามารถค้นหาชื่อในตัวอักษรภาษาจีน
และการอ่านออกเสียงที่ถูกต้องได้) ดังนั้นในสำนักสายชูริเต้
สิ่งที่เด่นชัดที่สุดคือการพุ่ง ต่อย หมัดหน้า หรือหมัดหลัง
แต่สิ่งที่แตกต่างระหว่าง สิงอี้ และมวยสายชูริคือ การวางน้ำหนักขนะต่อยเสร็จสิ้น
คาราเต้จะออกหมัดเมื่อตอนขาหลังส่งแรงเหยียดขาจนสุด พร้อมกับขาหน้าที่เหยียบลงพื้น
สมดุลย์น้ำหนักตัวจะค่อนมาด้านหน้า แต่มวยสิงอี้จะวางขาหน้าก่อน
จึงค่อยออกหมัดชกพร้อมกับขาหลังที่ตามมา สมดุลย์น้ำหนักตัวจะค่อนมาด้านหลัง
แต่ในบางท่วงท่ามวยสิงอี้
และคาราเต้สายชูริเต้จะใช้การพุ่งชกในลักษณะเดียวกันเหมือนกัน ในเรื่องของรูปแบบการต่อสู้
การย่างก้าวที่มีลักษณะเป็นเส้นตรง เข้าออกเดินหน้าถอยหลัง ฉากเบี่ยงซ้ายขวา
ถือว่าเป็นเอกลักษณะของมวยสิงอี้เฉวียนที่ คาราเต้สายชูริเต้ รับเข้ามาโดยตรง
ซึ่งสามารถสังเกตได้จากท่ามวยของสิงอี้เฉวียน ชุดสิงอี้อู่สิงเหลียนหวน(形意五行连环หมัดสิงอี้ผสานห้าธาตุ)
“คาราเต้สายชูริจะถนัดพุ่งต่อย
ต่อสู้ในระยะห่าง และระยะกลาง
ในขณะที่ทางสายนาฮาจะถนัดรูปแบบการต่อสู้ในระยะประชิด และระยะกลาง
เพราะการฝึกผลักมือ
หรือพันมือเป็นการฝึกประสาทสัมผัสในการต่อสู้เมื่อคู่ต่อสู้จู่โจมในระยะประชิด”
ต้นกำเนิดของคาราเต้สายนาฮากล่าวไว้ว่า
ปรมาจารย์คันเรียว ฮิกาชิอนนะ(東恩納 寛量1853-1916) ได้เรียนมวยอรหันต์ของเส้าหลินใต้จากอาจารย์อาราคากิ
เซโช(新垣 世璋1840 – 1918)และได้เรียนมวยกระเรียนและมวยเส้าหลินใต้อื่นๆจาก อาจารย์เซี่ยจงเสียง(谢宗祥1852 - 1930)
เนื่องจากสำเนียงการอ่านอักษรจีนที่ต่างกันของภาษาจีน ริวกิว และญี่ปุ่น การอ่านออกเสียง “หรูหรูเกอ如如歌”(ญี่ปุ่นออกเสียงว่า ริวริวโก) ที่เป็นฉายาของท่านเซี่ยจงเสียง
จึงเพี้ยนไปกลายเป็นแซ่หลิวชื่อหลง(刘龙)ผู้อาวุโสหลิวหลง(刘龙公)หลิวหลงเจียง(刘龙江)และพี่ชายหรูหรู(如如哥)เป็นต้น(ชื่อที่ภาษาญี่ปุ่นเพี้ยนไป
อ่านว่า ริวริวโก เหมือนกันหมดทุกชื่อ)
คุมิเตะ(組み手)รูปแบบการต่อสู้
แต่เดิมรูปแบบการต่อสู้ของคาราเต้
จะไม่ใช่รูปแบบการแข่งขันกีฬา(Sport Karate) หรือการชกกันบนเวที(Full contact) ที่สามารถรับชมการแข่งขันได้ตามอินเตอร์เน็ท หรือการต่อสู้ในภาพยนต์
ในการต่อสู้ของสายชูริเต้จะนำเอาลักษณะการสืบเท้าของต้นตำรับคือมวยสิงอี้มาใช้กล่าวคือ
ปัดป้องจู่โจมเป็นจังหวะรับรุกต่อเนื่องด้วยการสืบเท้าเข้าออกถอยฉากเป็นเส้นตรงในทิศทางต่างๆ
ในการถอยปัดนั้นจะถอยให้พ้นระยะจู่โจมในระยะที่พอดีไม่ห่างไปไม่ใกล้ไป
ไม่ปักหลักยืนรอปัดป้อง และพุ่งต่อย
ในสายนาฮา
จะเป็นลักษณะต่อสู้ระยะประชิดเน้นการปัดป้องอยู่กับที่เป็นหลัก หากจะถอย
ก็ถอยเพียงนิดเดียว เน้นหลบหลีก ปัดป้องไม่ปะทะแรงตรงๆ และการปัดป้องพร้อมโจมตี
การออกหมัดนิยมออกหมัดสั้น ปัดป้องจู่โจมผัวพันคู่ต่อสู้ในระยะประชิด
หรือในระยะกลาง หากได้แตะต้องมือ หรือแขนของคู่ต่อสู้แล้ว จะไม่ปล่อยให้หลุดมือ
จะฟังแรงควบคุมแขนของคู่ต่อสู้ไว้ไม่ให้คู่ต่อสู้ออกหมัดได้อย่างใจนึก
ซึ่งการต่อสู้นี้คือผลลัพธ์จากการฝึกผลักมือคะคิเอะนี่เอง
ในรูปแบบการต่อสู้ของคาราเต้เชิงกีฬา
การแข่งขันคาราเต้จะสามารถแบ่งออกเป็นสองประเภทใหญ่ๆคือ แบบ Non-Contact และFull-Contact โดยการฝึกคาราเต้ในรูปแบบกีฬานี้เทคนิคต่างๆของคาราเต้ดั้งเดิมได้ถูกลดลงไปอย่างมาก
เช่นการหักล๊อค การทุ่ม การแทงจุดตามร่างกาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งการใช้หมัด นิ้ว
และฝ่ามือชนิดต่างๆ เทคนิคเหล่านี้ปัจจุบันได้ถูกลืมเลือนหายไปจนเกือบหมดสิ้น
จนกลายเป็นเสมือนตำนาน และภาพมายาของนักคาราเต้ก็ว่าได้
Non-Contact เป็นรูปแบบสากลที่ได้การรับรอง
และบรรจุในกีฬาสากลระดับต่างๆ เช่น ซีเกมส์ เอเซี่ยนเกมส์ กีฬาแห่งชาติ
กีฬาเยาวชนแห่งชาติ โดยใช้กฏกติกาที่บัญญัติขึ้นโดย สมาคมสหพันธ์คาราเต้โลก(WKF: World Karate Federation) การจู่โจมจะทำได้เพียงการเตะ การต่อย
การตบด้วยหลังหมัด การตบด้วยสันมือด้านใน ในระดับลำตัว หลัง และหน้า
ด้วยการใช้ท่วงท่าที่ถูกต้องมีพลัง ความเร็ว ในระยะ และจังหวะที่ถูกต้อง
โดยที่การจู่โจมจะต้องหยุดเมื่อถึงตัว หรือหยุดห่างจากคู่ต่อสู้ 3-5 เซนติเมตร เพื่อวัดทักษะทางด้านการควบคุมการโจมตี
และลดการบาดเจ็บจากการปะทะ
Full-Contact เป็นรูปแบบการต่อสู้ของกีฬาคาราเต้
อีกรูปแบบหนึ่งซึ่งเกิดการแข่งขันรูปแบบนี้ถูกจัดขึ้นโดย อาจารย์โอยาม่า
มัทซุทัสสุ(大山 倍達1923-1994) แห่งสำนักคาราเต้เคียวคุชินไก(極真会)การต่อสู้ลักษณะนี้ถูกคิดค้นบัญญัติ
มาจากรูปแบบการต่อสู้ของตัวอาจารย์โอยาม่าเอง ซึ่งท่านเป็นคนรูปร่างใหญ่
ไม่เกรงกลัวการจู่โจมใดๆที่พุ่งเข้าหาตัวท่าน ท่านจึงนิยมในการยืนอยู่กับที่
และเดินเข้าหาคู่ต่อสู้เอง ด้วยความระมัดระวังเตรียมพร้อมที่จะปัดป้อง และจู่โจมกลับ แต่ในปัจจุบันนักคาราเต้สายเคียวคุชินนิยมที่จะเดินเข้าหาแลกหมัดประลองความแข็งแกร่งของหมัดเท้าและร่างกาย
จนไม่เหลือการปัดป้อง มากกว่าที่จะประลองชั้นเชิงการปัดป้องจู่โจม
อย่างที่อาจารย์โอยาม่าเป็นผู้ถ่ายทอด
“นักคาราเต้บนเวที
ที่อ้างว่าเป็นคาราเต้ บางคนไม่เคยฝึกคาราเต้จริงๆเลย” ในรูปแบบของ Full-Contact ปัจจุบัน
ได้มีสำนักใหม่ๆเกิดขึ้นมากมาย เรียกตัวเองว่าเป็นคาราเต้ แต่ไม่มีการฝึกพื้นฐาน
การฝึกท่ารำ มีแต่เพียงฝึกการต่อสู้ และไม่ใช่การต่อสู้ในรูปแบบคาราเต้ดั้งเดิม
กลับกลายเป็นรูปแบบการต่อสู้Kick-Boxing มากกว่า ซึ่งจริงๆแล้วสำนักเหล่านี้ไม่ควรที่จะเรียกรูปแบบการฝึกว่าเป็นคาราเต้เลย
บุคิจิทสุ(武器術)อาวุธในวิชาคาราเต้
อาวุธหลักๆของคาราเต้ในโอกินาว่าจะมี
โบ(棒พลอง)เอกุ(エクไม้พาย)ไซ(釵สามง่าม)ทินเบโรจิน(チィンべー(楯)ローチン(短槍)โล่กระดองเต่า และหอกสั้น)คามะ(鎌เคียว)คุวะ(鍬จอบ คราด)เทคโก้(鉄甲สนับเหล็ก)โฮกิ(箒ไม้กวาด)ทอนฟา หรือ ทุยฟา(トンファーไม้ศอกญี่ปุ่น ทำมาจากด้ามเครื่องโม่ถั่ว เอาไว้นวดข้าว กับโม่ถั่ว )นุนจากุ(ヌンチャクกระบองสองท่อน)ซันเซ็ทสึคุน(三節棍พลองสามท่อน)ซุรุจิน(スルチンโซ่ลูกตุ้ม)เป็นต้น
ซึ่งอาวุธที่กล่าวมาทั้งหมดนี้ มีอยู่ในมวยสายฮกเกี้ยนหมดเลย แต่ในปัจจุบันคาราเต้ที่แพร่หลายในประเทศญี่ปุ่นจะต่างจากโอกินาว่าตรงที่ ไม่ได้รับการฝึกอาวุธเหล่านี้ เนื่องจากได้เปลี่ยนทัศนคติในเรื่องการต่อสู้ให้เป็นการต่อสู้มือเปล่า ปราศจากอาวุธไปแล้ว จึงมีการฝึกอาวุธน้อยลง จนบางสำนักไม่หลงเหลือวิชาอาวุธอีกเลย
โบ(棒พลอง)เอกุ(エクไม้พาย)ไซ(釵สามง่าม)ทินเบโรจิน(チィンべー(楯)ローチン(短槍)โล่กระดองเต่า และหอกสั้น)คามะ(鎌เคียว)คุวะ(鍬จอบ คราด)เทคโก้(鉄甲สนับเหล็ก)โฮกิ(箒ไม้กวาด)ทอนฟา หรือ ทุยฟา(トンファーไม้ศอกญี่ปุ่น ทำมาจากด้ามเครื่องโม่ถั่ว เอาไว้นวดข้าว กับโม่ถั่ว )นุนจากุ(ヌンチャクกระบองสองท่อน)ซันเซ็ทสึคุน(三節棍พลองสามท่อน)ซุรุจิน(スルチンโซ่ลูกตุ้ม)เป็นต้น
ซึ่งอาวุธที่กล่าวมาทั้งหมดนี้ มีอยู่ในมวยสายฮกเกี้ยนหมดเลย แต่ในปัจจุบันคาราเต้ที่แพร่หลายในประเทศญี่ปุ่นจะต่างจากโอกินาว่าตรงที่ ไม่ได้รับการฝึกอาวุธเหล่านี้ เนื่องจากได้เปลี่ยนทัศนคติในเรื่องการต่อสู้ให้เป็นการต่อสู้มือเปล่า ปราศจากอาวุธไปแล้ว จึงมีการฝึกอาวุธน้อยลง จนบางสำนักไม่หลงเหลือวิชาอาวุธอีกเลย
ความแตกต่างเรื่องการใช้เอวของสำนักโชโตกัน
และสำนักอื่นๆ
ในสำนักโชโตกัน
จะมีเอกลักษณ์เฉพาะตัวที่ต่างจากสำนักอื่นๆ ตรงเรื่องการใช้เอว
ในการใช้เอวของคาราเต้ทั่วไป จะใช้การบิดเอว(转腰จ่วนเยา ศัพท์มวยไทเก็กหมายถึงการบิดเอว)เพียงอย่างเดียว แต่ในคาราเต้โชโตกัน การใช้เอวจะรวมไปถึงการเปิดปิดสะโพกด้วย(落跨ลั่วคว่า ศัพท์ไทเก็กหมายถึงการเคลื่อนไหวสะโพก
โดยการบังคับกล้ามเนื้อตั้งแต่ส่วนเข่าขึ้นไปถึงส่วนสะโพก)
จะสังเกตความแตกต่างได้อย่างชัดเจนจากวิวิฒนาการของคาราเต้ในสำนักโชโตกัน
ซึ่งสังเกตได้จากโชโตกันรุ่นก่อตั้ง กับโชโตกันรุ่นหลัง การใช้เอวจะไม่เหมือนกัน
เนื่องจาก ปรมาจารย์มาซาโทชิ นากะยาม่า(正敏 中山1913-1987)หลังจากที่ได้ศึกษาคาราเต้สายชูริเต้จากท่านปรมาจารย์ฟุนาโคชิ
กิชิน(船越 義珍1868-1957) ได้ไปรำเรียนศึกษาต่อที่ประเทศจีน
และได้แลกเปลี่ยนความรู้ ฝึกมวยจีนจากอาจารย์หลายท่าน เมื่ออาจารย์นากายาม่ากลับมาที่ญี่ปุ่นได้ช่วยปรมาจารย์ฟุนาโคชิก่อตั้งสมาคมคาราเต้ญี่ปุ่น(日本空手協会 JKA: Japan Karate Association)ขณะนั้นได้ก็มีนักมวยไทเก็กตระกูลหยังท่านหนึ่งได้อพยพมาอาศัยที่โตเกียว
และได้ฝึกคาราเต้ที่สมาคมฯ ชื่อของท่านคือ หยังหมิงซื่อ(杨名时หยังหมิงซื่อ โยเมย์จิ)โดยอาจารย์หยังได้ฝึกคาราเต้จนได้รับสายดำระดับ7ดั้ง และเป็นหนึ่งในผู้ฝึกสอนของสมาคม
ต่อมาอาจารย์หยังได้ก่อตั้งสมาคมไทเก็กเพื่อสุขภาพ
และสมาคมปาต้วนจิ่นแห่งประเทศญี่ปุ่นขึ้น เพื่อเผยแพร่วิชาไทเก็กตระกูลหยัง
และวิชาชี่กงปาต้วนจิ่นอันเป็นสมบัติล้ำค่าของประเทศจีน
(อาจารย์หยังหมิงซื่อ
ไม่ใช่ผู้สืบทอดมวยไทเก็กตระกูลหยังแห่งหย่งเหนียน แต่เป็นชาวซานซี
ได้รำเรียนวิชาไทเก็กตระกูลหยังจากอาจารย์หวังซินอู่(王新午) ซึ่งเป็นศิษย์ของปรมาจารย์อู๋เจี้ยนเฉวียน(吴鉴泉)แห่งไทเก็กตระกูลอู๋ และอาจารย์สวียวี่เซิง(许禹生) หลานศิษย์ปรมาจารย์หยังเจี้ยนโหว(杨健侯)แห่งไทเก็กตระกูลหยัง
อีกทั้งอาจารย์หยังหมิงซื่อยังเป็นศิษย์ของอาจารย์มู่เสี่ยวอี้(穆小义)ผู้สืบทอดมวยสิงอี้เฉวียนรุ่นที่4อีกด้วย)
จากการศึกษาค้นคว้าเรื่องกลศาสตร์พลศาสตร์รวมถึงความรู้ในด้านต่างๆที่ได้รับมาจากประเทศจีนของอาจารย์นากายาม่า ได้ต่อยอดสิ่งที่อาจารย์กิโก ฟุนาโคชิ(船越 義豪1906-1945) ลูกชายปรมาจารย์กิชิน ฟุนาโคชิ ในเรื่องการใช้เอว และการเตะต่างๆ
จนทำให้คาราเต้โชโตกันในสมาคมฯ เริ่มแตกต่างจากคาราเต้สายชูริเต้อื่นๆ
รวมถึงโชโตกันสายอาจารย์ท่านอื่นๆด้วย โดยเฉพาะการใช้เอวเปิดปิดสะโพกที่ได้รับมาจากการแลกเปลี่ยนความรู้กับอาจารย์หยังสามารถต่อยอดความรู้ในด้านการใช้เอว
และพัฒนาจนกลายเป็นเอกลักษณ์ของโชโตกันปัจจุบัน
ซึ่งต่างจากการใช้เอวในสำนักอื่นที่จะต้องล๊อคสะโพกตรง
จากทัศนคติเรื่องการล๊อคสะโพกให้เอวตรงของการยืนหนีบแกะในสายมวยฮกเกี้ยน จึงทำให้สำนักต่างๆใช้เอวเพียงแค่บิดเอวเล็กน้อยเท่านั้น
ไม่ได้เปิดปิดสะโพกใช้เอวได้สามแบบโชเมน(正面เอวตรง)ฮันมิ(半身เปิดสะโพกหันตัวออกด้านข้าง45องศา)และเคียคุฮันมิ(逆半身การบิดสะโพกหันตัวย้อนกลับ45องศา)เหมือนดั่งโชโตกัน
ในคาราเต้โชโตกัน
จะมีการฝึกที่ไม่เหมือนกันในแต่ละอาจารย์ ในท่ารำเทคกิ(鉄騎ขี่ม้าเหล็ก หรือナイハンチไนฮันจิ)และอีกตัวอย่างหนึ่งคือ การชกเคียคุสึกิ(逆突きชกหมัดหลัง)ในท่ายืนโคคุทสึดาจิ(後屈立ちท่านั่งม้าน้ำหนักลงเท้าหลัง ภาษาจีนเพียนหม่าปู้偏马步) ในท่ามวยเฮอันโกดัน(平安五段) อาจารย์บางท่านจะสอนให้ล๊อคสะโพกขยับแต่เอวแล้วชก(จ่วนเยา)ตามแบบแผนดั้งเดิมเหมือนสำนักชูริเต้อื่นๆ
แต่อาจารย์บางท่านจะให้ บิดสะโพก(ลั่วคว่า)ตามแบบความรู้ที่ได้รับ และแก้ไขปรับปรุงพัฒนาแล้ว
คาราเต้
และศิลปะการต่อสู้ประจำชาติญี่ปุ่น
คาราเต้จริงๆไม่ใช่ศิลปะประจำชาติญี่ปุ่น แต่เป็นศิลปะการต่อสู้ประจำชาติของริวกิว(琉球ราชอาณาจักรริวกิว)แต่เมื่อริวกิวได้ถูกรวมเป็นหนึ่งกับประเทศญี่ปุ่น
คาราเต้จึงถูกเข้าใจว่าเป็นของประเทศญี่ปุ่นไปด้วย
แต่เดิมศิลปะการต่อสู้ประจำชาติของญี่ปุ่นหลักๆคือ ซูโม่(相撲)จิวจิทสุ(柔術)จูโด(柔道)และเคนโด(剣道) จากวิชาการต่อสู้มากมายที่มีอยู่ในญี่ปุ่น
ไม่ได้รวมถึงคาราเต้ด้วย แต่เมื่อไม่นานมานี้ ทางนิฮนบุโดกัน(日本武道館สมาคมสหพันธ์การต่อสู้แห่งประเทศญี่ปุ่น)ได้รวมคาราเต้ให้เป็นศิลปะการต่อสู้ประจำชาติแล้ว โดยระบุเอาไว้ในหนังสือ
นิฮนบุชิโด ซึ่งหนังสือเล่มนี้ได้รวบรวมรายชื่อวิชาการต่อสู้ของสำนักต่างๆในญี่ปุ่น
และรายละเอียดคร่าวๆของสำนักเอาไว้เพื่อการเผยแพร่ความรู้
ในสมัยเมื่อ40-50ปีก่อน ชาวญี่ปุ่นเองน้อยมากที่จะรู้จักคาราเต้
เนื่องจากคาราเต้ไม่ใช่ศิลปะการต่อสู้ประจำชาติ
ผู้ที่จะรู้จักคาราเต้คือกลุ่มตำรวจที่ได้รับการฝึกในกรม หรือนักศึกษาในมหาวิทยาลัยที่มีอาจารย์คาราเต้ไปสอนเผยแพร่เท่านั้น
จากสิ่งที่ยังหลงเหลือให้เห็นถึงความเป็นมวยจีนของคาราเต้
จึงกล่าวได้ว่า
คาราเต้เป็นศาสตร์ศิลปะการต่อสู้แขนงหนึ่งที่ผสมผสานระหว่างมวยจีนสายฮกเกี้ยน
มวยจีนสายอื่นๆ และมวยท้องถิ่นของโอกินาว่า จนกลายเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวที่แตกต่างจากมวยจีนไปแล้ว
และคงสามารถเป็นหลักฐานยืนยันได้อย่างดีในเรื่องต้นกำเนิดของคาราเต้ในข้อสงสัยที่ถูกถกเถียงกันมานานว่า
“คาราเต้แต่เดิมคือมวยเกาหลี แต่ถูกประเทศญี่ปุ่นลอกเลียนแบบไป”
เรียบเรียงโดย
นักพรตแมว โชคินโฮ
17 พฤศจิกายน 2554
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น