วันอังคารที่ 29 กันยายน พ.ศ. 2558

วัตถุมงคลของไทย กับการภาวนาอมิตาพุทธของจีน

การภาวนาของชาวมหายาน ว่า 南无阿弥陀佛 (นะโมอามิตพุทธ นะโมอามีทัวฟอ นำมออานีท้อฮุก) 南无观世音菩萨 (นะโมกวนซื่ออินผู่สะ นำมอกวงสี่อิมผู่สัก) หรือคำภาวนาอื่นที่เป็นการเอ่ยชื่อพระนามของพระพุทธเจ้า พระโพธิสัตว์เจ้า นั้นสามารถช่วยเหลือให้ผู้ที่ภาวนาพ้นทุกข์แคล้วคลาดพ้นภัยจากสิ่งอันตรายต่างๆนานาได้จริงอย่างความเชื่อหรือ และการภาวนานั้นจะส่งผลให้เมื่อตายละสังขารจากความเป็นมนุษย์แล้วจะได้ไปเกิดยังแดนสุขาวดี อันเป็นพุทธเกษตรที่พระอมิตาภพุทธเจ้าประทับอยู่
การภาวนาของมหายานที่เชื่อกันถึงความศักดิสิทธิ์ที่ทำให้แคล้วคลาดปลอดภัย ก็คงจะไม่ต่างไปจากความเชื่อในพุทธคุณของพระเครื่องรางวัตถุมงคลต่างๆของไทยซึ่งนับถือฝ่ายเถรวาท
คลิ๊กดู เรื่องราวของการภาวนาถึงพระโพธิสัตว์กวนอิม

เหตุที่ว่าไม่ต่างกันนั้นเพราะแต่เดิม วัตถุมงคลมีไว้เพื่อเป็นเครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจ ไม่ให้สอดส่าย ไม่ให้สั่นไหว สั่นคลอนหลงไหลไปในอบายมุขอันเป็นเครื่องแห่งความเสื่อม เป็นทางแห่งความพินาศ ดังนั้นวัตถุมงคลจึงเป็นเครื่องยึดที่ทำให้ผู้ศรัทธาครอบครองมีความ “เหนียว” มั่นคงในพระศาสนา ไม่ได้มีไว้เพื่อให้หนังเหนียวตีรันฟันแทงไม่เข้าอย่างที่เข้าใจ
เพราะเหตุใดวัตถุมงคลถึงเป็นเครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจ เพราะการบูชาวัตถุมงคลนั้น ไม่ใช่เพียงแค่ห้อยคอ คาดเอว แล้วพุทธะจะคุ้มครองเสมอไป แต่การจะให้พุทธคุณคุ้มครองได้อย่างเต็มที่นั้นจะต้องมีข้อห้าม ข้อบังคับต่างๆ เช่นข้อห้ามทำร้ายสัตว์ ห้ามเตะหมาแมว ห้ามลักทรัพย์ ห้ามเข้าสถานที่อโคจร ห้ามด่าว่าบุพการีทั้งตนเองและผู้อื่น ห้ามดื่มสุรา ห้ามใช้คำสบถ หรืออื่นๆมากมาย ซึ่งทั้งหมดล้วนเป็นศีลเป็นกรอบของการละชั่วขั้นพื้นฐาน หรือเบญจศีลศีลห้านั่นเอง ส่วนข้อบังคับนั้น คือการภาวนาตามพระคาถา และการทำบุญตักบาตรทุกวันพระเป็นอย่างน้อย หรือทุกวันได้ยิ่งดี โดยเฉพาะอย่างยิ่งคำภาวนานั้น ครูบาอาจารย์ได้กล่าวเป็นนัยๆกันว่า ภาวนาได้ตลอดเวลา ว่างเมื่อไหร่ก็ภาวนา ภาวนายิ่งมากยิ่งดี
(ภาพแดนสุขาวดี)


ในบุญกริยา10 กล่าวถึง ภาวนามัย ซึ่งคือบุญที่ได้จากการภาวนา ปฏิบัติสมาธิ ซึ่งเป็นบุญที่ได้มากที่สุด มากกว่าสังฆทาน เพราะการภาวนาสร้างปัญญา สร้างสมาธิให้ค่อยๆกัดกร่อนกะเทาะกิเลสนั้น จะนำพาไปสู่มรรคผลนิพพานได้ในที่สุด กล่าวกันว่าเพียงแค่ภาวนาปฏิบัติสมาธิจนเกิดสมาธิเพียงชั่วขณะหนึ่งก็ได้บุญมหาศาลแล้ว

และเมื่อเราปฏิบัติตามครูบาอาจารย์กำชับมาแล้ว นั่นคือเราย่อมได้บุญจาก ทานมัย สีลมัย ภาวนามัย เมื่อมีบุญสั่งสมย่อมเป็นที่รักของบรรดาสัตว์ มนุษย์ และเทพเทวดา เทพเทวดาคอยรักษา บุญรักษา ศีลรักษา ธรรมรักษา ย่อมเกิดอานิสงค์แคล้วคลาดจากภัยอันตราย หากไม่เกินกว่ากฎแห่งกรรม
เมื่อภาวนาจนเกิดความเคยชิน จนเกิดฌานในเบื้องต้น คือภาวนาพุทโธ จนพุทโธนั้นอยู่ในใจเราตลอดเวลา คือมีพุทธานุสสติกรรมฐานอยู่ตลอดเวลา นั่นจึงไม่ต้องอาศัยวัตถุมงคลใดๆแล้ว เพราะความมงคลทั้งปวงได้อยู่ในใจอยู่ในกายเราแล้ว พุทธานุภาพย่อมสถิตย์อยู่กับเรา  

ในจุดนี้เองที่อาจกล่าวได้ว่าเหมือนกันคือ การเน้นเรื่องอานิสงค์ของการภาวนา แต่แตกต่างกันตรงจุดเริ่มต้น วัตถุมงคลของไทยเราอาจจะเหมาะกับผู้ที่ยังไร้ศรัทธา กำลังใจยังไม่แข็งพอ เพราะฝ่ายเถรวาทไม่เน้นเรื่องอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์ที่สามารถเป็นที่พึ่งของฝูงชน แต่ฝ่ายมหายานนั้นเน้นคำสอนเรื่องของอิทธิปาฏิหาริย์มาแต่โบราณ ผู้คนจึงมีศรัทธาในพุทธานุภาพมากกว่า จึงไม่ต้องสร้างศรัทธาผ่านวัตถุมงคล

ส่วนความเชื่อเรื่องแดนสุขาวดี หลังจากได้ตายจากโลกนี้ไปแล้ว จะได้ไปเกิดยังแดนสุขาวดีพุทธเกษตรนั้น ชาวมหายานไม่ได้ต้องการที่จะไปพระนิพพานหรือ ถึงได้เน้นที่จะภาวนา อมิตาพุทธ เพื่อจะได้ไปสุขาวดี ก็ต้องย้อนมาทำความเข้าใจในเรื่องคำสอนของมหายานก่อน ในพระสูตรอมิตาภสูตรกล่าวว่า สุขาวดีเป็นดินแดนที่เกิดขึ้นด้วยอำนาจบารมีของพระอมิตาภพุทธะ ซึ่งเป็นพระพุทธเจ้าในอดีตย้อนไปก่อนหน้าพระโคตมพุทธเจ้าไป 10 กัป ที่ได้ชื่อว่าสุขาวดีก็เพราะผู้อยู่ในดินแดนนี้ย่อมไม่มีความทุกข์เลย แต่เสวยสุขอยู่เสมอ สุขาวดีเป็นดินแดนที่สวยงามและสุขสบาย กล่าวคือ มีล้อมรอบด้วยภูเขาแก้ว กำแพงแก้ว มีสระโบกขรณีที่ประดับด้วยแก้วมณี มีดนตรีทิพย์บรรเลงอยู่เสมอ มีนกร้องออกมาเป็นเสียงธรรมเทศนา บรรยากาศต่าง ๆ นี้ทำให้ผู้อาศัยเกิดพุทธาสุสติ ธัมมานุสสติ และสังฆานุสสติ และตั้งใจปฏิบัติธรรมเพื่อบรรลุนิพพานในดินแดนแห่งนี้

ที่ว่าบรรลุนิพพานในดินแดนนี้ ก็เพราะอายุขัยของผู้ที่เกิดในแดนนี้ยาวนานมากจนแทบจะลืมตาย มีมากพอที่จะภาวนาปฏิบัติธรรมจนบรรลุมรรคผลได้ในชาติเดียว ซึ่งกล่าวว่าการเกิดในสุขาวดีนั้นเป็นชาติสุดท้ายนั่นเอง ซึ่งนี่เองที่กล่าวว่ามหายานนั้นเป็นยานลำใหญ่ เป็นทางลัดที่จะนำสัตว์โลกไปให้พ้นฝั่งได้เร็วที่สุด

ซึ่งจุดนี้เองจะแตกต่างจากเถรวาท ที่ไม่มีบันทึกเรื่องพระอมิตาภพุทธเจ้ากับแดนสุขาวดี แต่ก็อาจจะเทียบได้ว่า แดนสุขาวดีนั้นก็คือสวรรค์ชั้นหนึ่งนั่นเอง และที่เหมือนกันอีกก็คือ คติหลังความตาย ที่เชื่อกันว่า จิตของผู้ตายจะไปตามสภาพอารมณ์ขณะตาย หากจิตขุ่นมัวก็จะไปอบายภูมิ จิตแจ่มใสนึ่งถึงแต่กุศลผลบุญก็จะได้ไปใช้บุญเป็นเทพเทวดาในสวรรค์ หากจิตเป็นฌาณด้วยผลการภาวนาก็จะได้ไปเกิดเป็นพรหมในสวรรค์ชั้นพรหม


ทีนี้คงจะเข้าใจกันแล้วว่า ทำไมคนจีนที่นับถือพุทธมหายานถึงได้ชอบภาวนาว่า อมิตาพุทธ หรือ กวนซื่ออินผู่สะ 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น