ในวันแรกที่เรามาฝึกคาราเต้ หากเรามาระลึกกัน จะเห็นได้ว่า การฝึกท่าพื้นฐานทั้งหมดนั้น จะไม่มีการจงใจพ่นลมหายใจออกทางปากหรือจมูกเลย การชกการปัดการเตะแต่ละครั้งทำให้เร็วแรงที่สุดโดยที่ลมหายใจนั้นปรกติ คือหายใจเข้าออกตามปรกติ ในการใช้แรงนั้นก็จะเป็นการหายใจออกตามปรกติ ไม่ต้องใช้การจงใจเค้นลมหายใจ หรือพ่นลมออก แต่การใช้งานร่างกายจะเป็นตัวไล่ลมออกไปเอง
พูดง่ายๆก็คือ "ให้เราหายใจตามปรกติ แล้วท่ามวยมันจะปรับลมหายใจของเราเอง"
ซึ่งการฝึกของคาราเต้ ก็ยังมีคุมิเต้ และท่ารำกาต้าซึ่งก็ไม่ได้มีการสอนให้พ่นลมแต่อย่างใด จะเห็นว่าในสมัยก่อนๆที่เราฝึกกันนั้น ทุกคนจะไม่มีการพ่นลมหายใจออกมาเลย ยกเว้น "คิไอ"
แต่ปัจจุบัน ในการแข่งขันท่ารำ เราจะได้ยินเสียงลมหายใจทุกครั้งที่เห็นนักกีฬาเคลื่อนไหว และใช้แรง ไม่ว่าจะเป็น ชก เตะ ปัด
จะว่าพ่นลมหายใจเหมือนนักมวยสากลก็ไม่เชิง มันเป็นเสียงดัง "ชึบๆ ชิดๆ" หรือสารพัดสารเพจะสรรหาเสียงแปลกๆออกมา
(ในบางคนที่มีปัญหาเรื่องทางเดินหายใจ เช่นอาจจะเป็นไซนัส อาจจะทำให้การระบายลมหายใจนั้นมีปัญหา ในการใช้แรงอาจจะมีเสียงในการไล่ลมบ้างเล็กน้อย แต่ไม่ใช่เสียงที่จงใจพ่นลมหายใจออกมา)
รวมถึงการคิไอด้วย การคิไอนั้น จะเป็นการเปล่งเสียงออกมา โดยพื้นฐานใช้เสียงที่มีการระเบิดลมออกมา และไม่มีตัวสะกดเพื่อไปปิดลมที่ออกมา การใช้เสียงระเบิดนั้นจะทำให้เกิดการเกร็งของท้องอย่างรวดเร็ว ซึ่งมันจะสัมพันธ์กับการใช้แรง ที่ใช้แรงในพริบตา ไม่ใช่การค่อยๆเกร็งท้องไล่ลมเหมือนการตะโกนเสียงยาวๆ ดังนั้นการคิไอ จึงเป็นการใช้เสียงระเบิด เช่นคำว่า ทะ หรือ ท่า เป็นต้น (ในการสอนของอาจารย์ญี่ปุ่นในสมัยก่อนจะให้ใช้คำว่า EI YA TA HA เป็นต้น สรุปได้คือคำสั้นๆ) ส่วนการลากเสียงนั้นเป็นเสียงที่ตามมาจากการระบายลมหายใจออก ซึ่งจริงๆการลากเสียงนั้นแทบจะไม่ได้สอนกันเลย เพราะมันไม่มีความจำเป็น หรือสาระสำคัญอะไร(ไร้สาระ)ในการลากเสียง
แต่ในปัจจุบันอีกเช่นกัน เราจะเห็นนักกีฬาลากเสียงตอนคิไอ เป็นลากเสียงยาวๆ ถ้าหากเปรียบเทียบกับการเขียนแล้วให้เติมเบิ้ลตัวอักษรตัวสุดท้ายไปเรื่อยๆ ตามความยาวเสียงได้นี่ คงจะเติมไปหลายตัวเลย
คิไอตามปรกติแบบดั้งเดิม "EIA"
คิไอตามนักกีฬาปัจจุบัน "EIAAAAAAAAAAAAAAAAAAAAAAAAAAAAAAAAAAAAAAAAAAAAAAAAAAAAAAAAAAAAAAAAAAAAAAAAAAA"
คิไอตามนักกีฬาปัจจุบัน "EIAAAAAAAAAAAAAAAAAAAAAAAAAAAAAAAAAAAAAAAAAAAAAAAAAAAAAAAAAAAAAAAAAAAAAAAAAAA"
-*-
ในการฝึกพื้นฐาน เราจะถูกสอนให้ไม่แสดงอาการ อารมณ์ทางสีหน้า เพราะคู่ต่อสู้สามารถคาดเดาจังหวะการโจมตีได้จากทางสีหน้า แต่ถ้าเราผ่อนคลายทำหน้าทำตา ผ่อนคลายร่างกายสบายๆ คู่ต่อสู้ย่อมจับทางไม่ออก
ในปัจจุบัน การแข่งท่ารำกาต้า การจะออกเทคนิคต่างๆ ต้องทำหน้าตาขึงขัง เคร่งขรึม ดุดัน มีการเกร็งหน้าเกร็งตาขมวดคิ้ว โดยอ้างว่าทำให้ดูเหมือนต่อสู้จริง มีสมาธิจดจ่อกับการต่อสู้ แต่ในความเป็นจริง หากเราต่อสู้นั้น คู่ต่อสู้ที่เก่งๆเขาแค่เห็นหน้า มีการแสดงทางสีหน้าหน่อยเขาก็รู้จังหวะการเคลื่อนไหวแล้ว
หากมองว่ามันเป็นการเข้าใจในพื้นฐานคาราเต้แบบผิด ก็สามารถที่จะมองได้ เพราะคาราเต้ไม่ได้สอนแบบนั้น แต่ปัจจุบันเราสามารถเห็นได้ทั่วไปในการแข่ง หรือตามยิมที่ซ้อมแข่ง มันกลายเป็นค่านิยมของนักกีฬา จนติดกลายเป็นเรื่องธรรมชาติของนักคาราเต้ และเริ่มจะกลายเป็นสิ่งที่สอนกันมาคาราเต้เสียแล้ว
ทั้งที่ "คาราเต้" ไม่เคยสอน
( ปล.นึกถึงตอนที่แอ๊ดมินเคยแข่งยุทธลีลาไท่จี๋เฉวียนเมื่อ10กว่าปีก่อน แอ๊ดมินเคยโดนกรรมการแนะนำว่า สิ่งที่เธอขาดไปคือขณะที่เธอรำไท่จี๋นั้น เธอไม่มีสีหน้าที่จริงจัง เธอต้องทำหน้าให้ขึงขังดุดัน ให้สมกับที่ร่ายรำมวยหน่อย ไม่อย่างนั้นเธอแพ้....... -*- เอิ่ม คือคุณกรรมการ ตอนนั้นผมก็ตัดสินคุณไปแล้วหล่ะว่าคุณไม่เข้าใจมวยไท่จี๋เลย มวยไท่จี๋นั้นฝึกเพื่อให้เกิดความสมดุลย์ในร่างกายและจิตใจ เกิดความสงบ เกิดความนิ่งในจิตใจ การแสดงออกทางสีหน้าอย่างที่คุณว่านั้น ไท่จี๋ไม่เคยสอน ที่ฮากว่านั้น มีกรรมการท่านหนึ่งบอกให้ยิ้ม เพราะมวยไทเก็กนั้นรำแล้วต้องสบาย ตอนนั้นแอ๊ดมินนี่ เงิบไปเลยกับวงการนี้ )
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น